เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 77.1
“ทราบด้วยเหรอคะ…ว่าเป็นข้า”
“ไม่เคยพบตัวจริงหรอกค่ะ แต่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคุณหนูมากมายทีเดียวค่ะ เมื่อครู่นี้ดูเหมือนจะไม่อยากเปิดเผยตัว ก็เลยต้องเสียมารยาทแล้วค่ะ คุณหนู”
มองออกทะลุปรุโปร่งหมดเลย!
ว่าแล้วเชียว สมกับเป็นไวโอเล็ตจริงๆ
ฟีเรนเทียยิ้มกว้าง ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับมือทักทายไวโอเล็ต
“ยินดีที่ได้พบค่ะ ไวโอเล็ต”
“ทราบชื่อของข้าด้วยเหรอคะ”
ไวโอเล็ตเบิกตากว้าง
“ได้ยินเมื่อครู่นี้ และข้าก็เป็นพวกชอบจำเรื่องสำคัญโดยเฉพาะเรื่องของร้านขายเสื้อผ้าน่ะค่ะ”
“ตายจริง…”
ไวโอเล็ตหัวเราะเล็กน้อยแต่แววตาแหลมคมกำลังพยายามอ่านความคิดของเธอโดยไม่คิดหยุดพัก
คนคนนี้คือมือรองของกลุ่มการค้าเพลเลส หรือมือขวาของเครย์ลีบันในชีวิตก่อนนั่นเอง
ความอัจฉริยะของเครย์ลีบันเป็นส่วนสำคัญในการทำให้กลุ่มการค้าเพลเลสเติบโตขึ้นอย่างประสบความสำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ ก็จริง แต่ก็ไม่อาจขาดความละเอียดรอบคอบในการทำธุรกิจของไวโอเล็ตไปได้เลย
หากเครย์ลีบันเป็นหัวเรือผู้นำพากิจการให้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ไวโอเล็ตก็เป็นคนต้นหนคอยตรวจเช็กและสังเกตการณ์ทุกสิ่งอย่างรอบคอบอยู่เบื้องหลัง ช่างเป็นคู่ดูโอ้ในฝันจริงๆ
หากไม่มีคนที่ชื่อไวโอเล็ต ลิปเป้คนนี้ ก็คงจะไม่มี ‘ร้านค้าเพลเลส’ ที่รุ่งโรจน์อย่างรวดเร็วเหมือนดาวหาง
ดูจากท่าทางยามจัดการงานเมื่อครู่นี้แล้ว เธอคงไม่ต้องเป็นกังวลแล้วที่ไวโอเล็ตคนนี้ยังอ่อนวัยกว่าในสมัยนั้นอยู่มาก
ท่านปู่เองก็รู้สึกแบบนี้หรือเปล่านะ เวลาที่ได้เห็นคนมีความสามารถเช่นนี้
เธอยิ้มกว้าง ในขณะที่ยังคงมองตรงไปที่ไวโอเล็ต
“เทีย?”
ในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเธอ
เป็นท่านพ่อที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านขายเสื้อผ้าพอดี
“พ่อ!”
พอเธอวิ่งกระโจนเข้าไปกอด ท่านพ่อก็เบิกตากว้างด้วยใบหน้างุนงง
“เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง…”
“ตั้งแต่วันนี้ข้าเองก็ออกมาเที่ยวข้างนอกได้แล้วนี่คะ!”
“ใช่ ใช่แล้ว…”
ท่านพ่อลูบหลังเธอไปพลางหัวเราะเสียงสั่นเครือ
“ได้มีวันที่บังเอิญพบกับเทียข้างนอกเช่นนี้…”
เสียงพึมพำของท่านพ่อเจือเสียงสะอื้นไห้ ท่าทางคงจะรู้สึกตื้นตันใจน่าดูที่ได้เห็นลูกสาวเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว
ท่านพ่อของเธอนี่จริงๆ เลยเชียว
“รู้ได้ยังไงว่าพ่ออยู่ที่นี่”
ปกติท่านพ่อจะทำงานอยู่ที่ห้องทำงานในสาขาใหญ่ของลอมบาร์เดีย หรือไม่ก็สาขาย่อยในเมืองหลวง
ที่นี่เป็นแค่หนึ่งในสาขาที่ท่านพ่อแวะเวียนมาบ่อยๆ หลังจากเพิ่งเปิดสาขาได้ไม่นาน
“คุณเครย์ลีบันบอกน่ะค่ะ!”
เครย์ลีบันที่เพิ่งจะถอดเสื้อตัวนอกส่งให้พนักงานร้านขายเสื้อผ้า แล้วเดินเข้ามาถึงกับสะดุ้งเฮือก
“คุณเครย์ลีบัน?”
เมื่อได้รับสายตาจากท่านพ่อ เครย์ลีบันก็กระแอมไอเสียงดังฮึ่ม ก่อนจะอธิบาย
“คุณหนูฟีเรนเทียมาถามตารางงานน่ะครับเห็นบอกว่าอยากจะเซอร์ไพรส์ท่านแคลอฮัน…”
“อย่างนั้นนี่เองครับ…ฮ่าฮ่า”
“พ่อ พวกเราออกไปข้างนอกกันมั้ยคะ”
เธอจับมือท่านพ่อพลางเอ่ยถาม
“แบบนั้นก็น่าจะดีนะ”
ท่านพ่อหันไปมองรอบๆ ก่อนจะพยักหน้าลง
เพราะไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทุกคนในร้านขายเสื้อผ้าต่างก็กำลังมองพวกเราเป็นสายตาเดียวกัน
มันไม่ใช่สายตาไม่พอใจว่า ‘ใครมาเอะอะเสียงดังแบบนี้กันเนี่ย’ แต่บรรยากาศนั้นเหมือนกับคนที่บังเอิญได้พบดาราชื่อดังหรือไอดอลในดวงใจ จึงได้แต่กระซิบกระซาบคุยกันด้วยความตกใจ
“โชคดีได้เห็นตัวจริงของพ่อลูกแคลอฮันลอมบาร์เดียตัวจริงเหรอเนี่ย!”
“ตายแล้ว น่ารักจัง!”
“ถ้างั้นผู้ชายที่อยู่ข้างหลังนั่นก็ท่านเครย์ลีบัน เพลเลสใช่มั้ย!”
เสียงจอแจจากบทสนทนาของทุกคนเริ่มค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินเรื่องที่พวกนางคุยกันหมดแล้ว
“พวกเราออกไปกินอะไรอร่อยๆ กันเถอะค่ะ!”
ยังไงก็เป็นช่วงเวลามื้อเที่ยงพอดี คงจะรบกวนงานของท่านพ่อเล็กน้อย แต่พอเธอพูดออกไปแบบนั้น ท่านพ่อกลับยิ้มรับพยักหน้าตกลงอย่างว่าง่าย
“เอาสิ เทียของพ่ออยากกินอะไรหรือ”
จะชวนไปที่ไหนดีล่ะ
ลิสต์รายชื่อร้านอร่อยที่เธออยากจะไปหลังจากที่ได้ย้อนเวลากลับมาแวบขึ้นมาในหัวสมองทันที
แตกต่างจากภาพลักษณ์ที่ดูน่าจะชอบกินของเบาๆ อย่างผักหรือผลไม้ ท่านพ่อผู้ชื่นชอบในการกินเนื้อเป็นอย่างมากพึงพอใจในร้านที่เธอแนะนำให้มากทีเดียว
ที่นี่คือสถานที่ที่ในชีวิตก่อนพอได้รับเงินเดือนแต่ละเดือน เธอมักจะแวะมากินอาหารตามใจอยาก ถึงแม้จะไม่ใช่สถานที่หรูหราอะไรมากนัก แต่ก็เป็นร้านที่เชี่ยวชาญในการย่างเนื้อด้วยเตาอบ
“ไว้มาที่นี่กันอีกนะคะ คุณหนู!”
ลอรีลเองก็ดูท่าจะชอบใจมาก
แต่ปฏิกิริยาของเครย์ลีบันกลับแปลกไปเล็กน้อย
“คุณเครย์ลีบัน พอใช้ได้มั้ยคะ”
ฟีเรนเทียถามเครย์ลีบันที่กินไปได้ไม่เท่าไหร่ก็วางส้อมลง แล้วใช้ผ้าเช็ดปาก
หรือว่าเขาจะป่วย
“ใช้ได้ครับ แค่รสชาติไม่ค่อยถูกปากข้าเท่านั้นเองครับ”
“ท่าน…ไม่สิ คุณเครย์ลีบันดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบกินเนื้อสัตว์นะคะ”
ลอรีลเกือบจะเรียก ‘ท่านพี่’ ออกไปด้วยความเคยชิน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอยู่ข้างนอกก็รีบแก้ไขคำพูดทันที
“เห?”
หน้าตาดูเหมือนชอบกินเนื้อสัตว์นี่นา
“หน้าตาเหมือนคนที่จะเคี้ยวสเต๊กเนื้อย่างแบบแรร์ที่มีเลือดไหลเยิ้ม ดื่มไวน์แดงหนึ่งจิบไปพลางหัวเราะเสียงดัง ‘หึ’ อย่างหล่อเหลาแท้ๆ!”
“…ตัวอย่างละเอียดเชียวนะครับ แต่ข้าไม่ค่อยชอบกินเนื้อสัตว์เท่าไหร่น่ะครับ”
“ข้าเองก็ไม่ทราบเลยนะครับเนี่ย”
ท่านพ่อหั่นเนื้อชิ้นโตในขณะที่เอ่ยพูดราวกับช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริงๆ
“ถ้างั้นชอบอาหารประเภทไหนเป็นหลักเหรอครับ”
“สลัดเบาๆ หรือไม่ก็อาหารทะเลน่ะครับ แต่ไม่ค่อยมีภัตตาคารพวกนั้นเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ข้าเลยลงมือทำอาหารเองครับ”
“ทำอาหารด้วยเหรอคะ”
มีแต่เรื่องน่าตกใจ
บรรยากาศดูแล้วน่าจะเป็นคนประเภทที่ในบ้านไม่มีอะไรเลย นอกจากเตียงที่ตั้งโดดเด่นอยู่หลังเดียวแต่คนแบบนั้นกลับลงมือทำอาหารกินด้วยตัวเองที่บ้านเหรอเนี่ย
“ถ้าอย่างนั้นรอสักครู่นะคะ!”
เธอสั่งอาหารอีกอย่างจากเมนูอาหาร
อาหารทะเลสดใหม่ย่างด้วยความใส่ใจเสิร์ฟพร้อมสลัดผักใบเขียวสดใหม่ นี่ถือเป็นเมนูยอดนิยมอีกเมนูนอกจากอาหารประเภทเนื้อย่างเลยทีเดียว
“ว้าว”
เครย์ลีบันลองตัดกินหนึ่งคำโดยไม่ได้คาดหวังอะไรนัก แต่แล้วเขาก็ต้องรู้สึกตกใจ
“อร่อยใช่มั้ยคะ คุณเครย์ลีบัน”
“ครับ ขอบคุณที่ใส่ใจนะครับ ท่านฟีเรนเทีย”
“ไหนๆ ก็ออกมากินอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตา ก็ต้องกินกันให้อร่อยสิคะ!”
ได้เห็นเครย์ลีบันลงมือกินอาหารด้วยความเร็วที่แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ ค่อยรู้สึกพอใจหน่อย
ฟีเรนเทียยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคาง เฝ้ามองภาพนั้น ก่อนที่จะเปิดประเด็นเมื่อเห็นว่าท่านพ่อใกล้จะกินอาหารหมดแล้ว
“พ่อ ยกคุณเครย์ลีบันให้ข้าเถอะนะคะ”
“โขลก!”
“…แค็ก!”
แล้วทำไมทั้งท่านพ่อ ทั้งเครย์ลีบันถึงได้สำลักพร้อมกันเสียได้ล่ะเนี่ย