เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 78.2
“แคลอฮัน”
แคลอฮันกำลังรีบเดินเพราะต้องออกไปทำงาน แต่แล้วเขาก็ต้องหมุนตัวหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงไม่ยินดีที่เอ่ยเรียกตนดังขึ้น
…เบเจอร์
“ข้ายังไม่ได้ยินคำขอโทษจากเจ้าเลยนะ”
เรียกตัวคนที่กำลังรีบจะออกไปทำงานเอาไว้เพื่อสั่งให้ขอโทษเนี่ยนะ
แคลอฮันลอบถอนหายใจอยู่ข้างในใจ ก่อนจะเปิดปากพูด
“ข้าไม่เคยทำเรื่องอะไรให้ต้องขอโทษครับ ท่านพี่”
“จำเรื่องที่เจ้าขับไล่ข้าออกไปจากงานเลี้ยงไม่ได้หรือไง”
“ข้าไม่เคยไล่ท่านพี่ออกจากงานเลี้ยงครับ แค่บอกว่าถ้าไม่ถูกใจงานเลี้ยงวันเกิดของเทียจะกลับไปก็ได้เท่านั้นเอง”
ใบหน้าของเบเจอร์เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำสลับซีดเผือด
มีอยู่ช่วงหนึ่งเขาเคยหวาดกลัวนิสัยเลือดร้อนเป็นไฟแบบนั้นเหมือนกัน แต่แคลอฮันในตอนนี้กลับรู้สึกสมเพชพี่ชายใหญ่ที่มีนิสัยเช่นนั้นด้วยซ้ำไป
เขาได้เรียนรู้แล้วว่า คนที่มีนิสัยไม่คิดหน้าคิดหลัง ดีแต่ส่งเสียงโวยวายเช่นนี้ มีแต่จะทำให้คนอื่นเขาหัวเราะเยาะใส่เปล่าๆ
“เจ้า”
เบเจอร์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้หวังจะข่มขู่ให้อีกฝ่ายกลัว แต่แคลอฮันเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ ยกมือไขว้หลัง โดยไม่คิดขยับถอยไปข้างหลังหรือก้าวไปข้างหน้า
“คงจะเสียสติไปแล้วเพราะท่านพ่อหนุนหลังสินะ เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะแข็งแรงคล่องแคล่วแบบนั้นไปได้ตลอดหรือยังไง”
แคลอฮันแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา
เบเจอร์หูตามืดบอดเพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่แต่กับความโลภอยากได้อำนาจไปแล้วจริงๆ
ต่อให้ปฏิบัติกับเขาที่เป็นน้องชายเหมือนขี้ข้าที่อยู่ต่ำกว่าตัวเอง แต่นี่กลับนัยน์ตามืดบอดจนกล้าพูดจาไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องของรูลลักผู้เป็นบิดาเสียแล้ว
แคลอฮันตั้งใจแน่วแน่แล้ว
มันเป็นสิ่งที่เขาตัดสินใจตั้งแต่ได้รับเหรียญรางวัลยกย่องพร้อมกับเขตแดนเชซายูจากงานเลี้ยงประจำอาณาจักรในครั้งนี้
“ท่านพี่”
แคลอฮันกล่าวเสียงเรียบ ทว่าทุกคำพูดแฝงไปด้วยคำเตือน
“ข้าไม่สนใจตำแหน่งเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเลยแม้แต่นิดเดียวครับ และก็คิดว่าท่านพี่เองก็น่าจะทราบเรื่องนั้นดีอยู่แล้ว”
เบเจอร์ผงะไปเล็กน้อย ข้างในนัยน์ตาทั้งสองข้างยังคงระแวดระวังไม่หาย
แคลอฮันถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วพูดต่อ
“เมื่อถึงเวลาข้าจะออกไปจากคฤหาสน์ แล้วย้ายไปอยู่ที่เชซายูครับ”
“…จริงหรือ”
“ข้าไม่ทราบหรอกนะครับว่าในสายตาของท่านพี่แล้วจะเห็นลอมบาร์เดียเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกหรือเปล่า แต่สำหรับข้า ข้าไม่คิดที่จะปล่อยให้บุตรสาวต้องใช้ชีวิตอยู่ในโคลนตมหรอกนะครับ”
เทียสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดในโลกนี้
เพราะฉะนั้นแคลอฮันถึงได้คิดที่จะแยกบุตรสาวให้ห่างจากบุตรหลานของลอมบาร์เดีย
เพื่อให้มีอิสระ เพื่อให้ได้หายใจ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตสมกับเป็นมนุษย์
“ดังนั้นอย่ามายุ่งกับพวกเรา ข้าขอเตือนไว้ก่อนครับ”
แคลอฮันจ้องเบเจอร์เขม็งเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังเดินจากไป
เบเจอร์ถูกทิ้งไว้คนเดียว เขาไม่พอใจเท่าไหร่ที่น้องชายทำท่าเหิมเกริมใส่ แต่ยังไงเขาก็คิดว่าจะยอมรับคำประกาศยอมจำนนของอีกฝ่าย
ไม่นึกเลยว่าเรื่องราวจะคลี่คลายได้ง่ายขนาดนี้!
พูดออกมาเองจากปากว่าไม่สนใจตำแหน่งเจ้าตระกูล!
รู้สึกสบายใจขึ้นราวกับฟันที่ผุเน่าทำให้ปวดทรมานหลุดออกไปจากปากได้เสียที
รอยยิ้มพึงใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าโดยอัตโนมัติ
หากเป็นเช่นนี้เขาก็คงไม่ต้องมานั่งต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งเจ้าตระกูลกับแคลอฮันอีก
เบเจอร์เชื่อว่าคราวนี้เขาก็คงจะไม่มีคู่แข่งที่ไหนเหลืออีกแล้ว
“อาจารย์ ยินดีด้วยกับการเปิดกิจการนะคะ!”
ฟีเรนเทียส่งช่อดอกไม้ช่อเล็กที่แวะซื้อจากร้านขายดอกไม้ระหว่างทางมาที่นี่ให้เครย์ลีบัน
บรรดาลูกจ้างของร้านค้าที่จ้างมาใหม่ครั้งนี้ต่างมองเธอแล้วยิ้มชมว่าน่ารักกันทั้งนั้น
เครย์ลีบันประเมินความสามารถของเธอไว้สูงมากจริงๆ ไม่เพียงแต่ยอมสิ้นสุดสัญญาจ้างงานกับตระกูลลอมบาร์เดียเท่านั้น แต่เขายังแสร้งรับหน้าที่สอนหนังสือให้เธอเพื่อปกปิดคนภายนอกต่อไปเรื่อยๆ อีกด้วย
เดิมทีมันก็เป็นแผนการที่ตั้งใจทำแบบนั้นเพื่อจะได้ไม่ให้คนนึกสงสัย หากเธอจะแวะเวียนมาที่ร้านค้าแห่งนี้บ่อยๆ
“ช่อดอกไม้ข้าจะนำไปไว้ทางด้านโน้นให้นะคะ”
พนักงานประจำร้านโผล่มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ นางรีบรับเอาช่อดอกไม้จากมือของเธอไปเก็บให้
“ถ้างั้นเราขึ้นไปข้างบนกันดีมั้ยครับ”
เครย์ลีบันเดินนำเธอขึ้นไปยังสำนักงานที่ตั้งอยู่บนชั้น 3
ทันทีที่เข้าไปข้างในห้องทำงาน ฟีเรนเทียก็พบไวโอเล็ตที่จัดเตรียมน้ำชารอไว้อยู่ก่อนแล้ว
นางเป็นสมาชิกคนสำคัญของร้านค้าเพลเลสที่ขาดไม่ได้ ซึ่งเธอได้ย้ำนักย้ำหนากับเครย์ลีบันว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องพาตัวมาให้ได้
แกรก
หลังจากประตูถูกปิดลง ข้างในห้องทำงานก็เหลือเพียงพวกเราแค่สามคน
และเธอก็เดินไปนั่งที่นั่งหัวโต๊ะตำแหน่งสูงที่สุดอย่างเป็นธรรมชาติ
“ตอนนี้ร้านค้าก็จัดตั้งได้อย่างราบรื่นแล้ว ก็ได้เวลาตั้งเป้าหมายแรกกันแล้วใช่มั้ยคะ”
เครย์ลีบันกับไวโอเล็ตพยักหน้าด้วยใบหน้าจริงจังเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
ท่าทางของพวกเขาทั้งสองคนดูน่าเชื่อถือมาก ทำให้ฟีเรนเทียรู้สึกภาคภูมิใจเหมือนได้กุมกำลังทหารกว่าพันนายไว้ในมือเลยทีเดียว
เธอกระแอมไอเคลียร์ลำคอให้โล่ง ก่อนจะเปิดปากพูด
“เป้าหมายแรกของร้านค้าเพลเลสของพวกเราคือเหมืองค่ะ”