เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 81.2
จักรพรรดินีมองเห็นประกายไฟที่ลุกโชนขึ้นมาในนัยน์ตาคู่นั้นแม้จะเพียงแค่พริบตาเดียวก็ตาม นางยกยิ้มคล้ายกับสนุกกับปฏิกิริยาของเฟเรส
“ข้าแจ้งฝ่าบาทแล้วเช่นกันค่ะ ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิดเจ้าชาย แต่ต่อไปก็อยากจะดูแลเจ้าชายให้เหมือนกับบุตรชายแท้ๆ ของข้า”
ครืด
สุดท้ายปลายเล็บของเฟเรสก็ขูดเข้ากับที่เท้าแขนเก้าอี้อย่างแรงด้วยอารมณ์ที่ต้องพยายามอดกลั้น
“อย่างไรอายุก็ยังจำเป็นต้องพึ่งมือมารดาอยู่มากไม่ใช่หรือคะ จะทำให้ฝ่าบาทพอใจยังไงดี เพราะฉะนั้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่เสียนาน ก็เลยนึกวิธีการอบรมที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าชายขึ้นมาได้น่ะค่ะ”
“ไปเรียนที่อะคาเดมีเถอะค่ะ เจ้าชาย”
ไม่อยากจะอยู่ตรงนี้แล้วจริงๆ
พรวด!
เฟเรสไม่รับฟังอีกต่อไป เขาลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที
“เจ้าชาย!”
จักรพรรดินีขมวดคิ้วแน่น นางขึ้นเสียงสูงด้วยความตกใจเล็กน้อย
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ เจ้าชาย! ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ!”
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสหลุบสายตามองจักรพรรดินีที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยนัยน์ตาเย็นชา ในขณะที่เอ่ยพูด
“พอดีข้าไม่เคยได้เรียนรู้อะไรเท่าไหร่”
เฟเรสทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะออกจากเรือนกระจกไปโดยไม่กล่าวลา
เขาได้ยินจักรพรรดินีตะโกนอะไรบางอย่างเสียงดังมาจากข้างหลัง แต่ไม่ได้คิดที่จะสนใจหันกลับไปมองเพราะหลังจากรู้ว่าเฟเรสสามารถสร้างออร่าได้ ก็ไม่มีอัศวินข้างกายจักรพรรดินีคนไหนกล้าใช้กำลังลงไม้ลงมือกับเขาอีก
เฟเรสเดินไปตามทางจนกระทั่งกลับมาถึงวังโฟอิรัค แคทเธอรีนกับคาอิลรัสมองเขาด้วยนัยน์ตาเป็นกังวล
สาเหตุก็เพราะใบหน้าของเฟเรสที่กัดฟันแน่นนั้นบิดเบี้ยวไม่น่ามองเป็นอย่างมาก
ไม่มีใครกล้าสุ่มสี่สุ่มห้าเดินเข้าไปพูดด้วย
คาอิลรัสได้แต่เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจ
หากเฟเรสกรีดเสียงร้องทำลายข้าวของ หัวใจของคนที่เฝ้ามองคงจะไม่เจ็บปวดมากขนาดนี้
ภาพยามที่ได้แต่ก้มหน้านิ่งด้วยใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่หยาดน้ำตา วันนี้ช่างดูตัวเล็กมากเหลือเกิน
ทั้งๆ ที่ออกไปเพราะได้รับการติดต่อมาจากวังจักรพรรดิแท้ๆ แต่เพราะท่าทางราวกับแตกสลายนั่น มันเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น จึงยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่
ในตอนนั้นเองแคทเธอรีนที่เฝ้ามองเฟเรสอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว
มันไม่ใช่ของที่ยิ่งใหญ่อะไร
นางเพียงแค่วางจานเค้กช็อกโกแลตชิ้นนั้นลงตรงหน้าเฟเรส และช่วยเทนมอุ่นๆ วางไว้ข้างจานใบนั้นเท่านั้นเอง
เฟเรสหันไปมองเค้กชิ้นนั้นเมื่อได้ยินเสียงกระทบดัง ‘แกรก’
แพขนตายาวสีดำสนิทสั่นระริก
เขารู้สึกราวกับเค้กชิ้นนั้นที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะเองก็กำลังมองตนอยู่เช่นกัน
โทสะที่สั่งสมมาจนไฟลุกโชนจนเผาไหม้สติสัมปชัญญะทิ้งไปนั่นเริ่มเย็นลง แม้แต่หัวใจที่เต้นโครมจนแทบระเบิดเองก็สงบลงอย่างง่ายดาย
อาการสั่นเทาของมือที่สั่นไม่หยุด เพราะอยากเอื้อมมือไปชักดาบออกมาเองก็หยุดลง เฟเรสใช้มือข้างที่หยุดสั่นข้างนั้นหยิบส้อมมาถือไว้ในมือแทน
เฟเรสตักเค้กชิ้นโตใส่ปากเหมือนอย่างที่เทียเคยทำ ครีมรสหวานกับเนื้อขนมฟูนุ่มละลายผสมกันอยู่ในปาก
ทีละคำ ทีละคำ โดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ในตอนที่กินเฟเรสก็ขยับเพียงแค่มือและปากกินเค้กชิ้นนั้นจนหมด หลังจากนั้นถึงได้ค่อยกลับมามีท่าทางเฉกเช่นที่เป็นอยู่ทุกวัน
“หวาน”
เฟเรสพึมพำในขณะที่ใช้นิ้วโป้งเช็ดครีมสีขาวที่เลอะมุมปากออก
ฟีเรนเทียได้ยินข่าวว่าไวโอเล็ตได้ทำการสืบเรื่องเกี่ยวกับ ‘เหมืองแร่ถ่านหิน’ เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงแวะเข้ามายังสำนักงานของร้านค้าเพลเลส
ไวโอเล็ตยื่นรายงานกองโตที่เรียบเรียงเป็นอย่างดีส่งให้เธอ
“ตระกูลเลงคันต้าเป็นหนี้สินอยู่ทั้งหมดประมาณเจ็ดพันเหรียญทอง ในจำนวนนั้นมีหนี้หกร้อยเหรียญทองที่ต้องชำระคืนในทันที ราคาประมูลน่าจะอยู่ช่วงนั้นได้ค่ะ”
เงินหกร้อยเหรียญทอง สำหรับตระกูลชั้นสูงทั่วไปก็ยังถือว่าเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมากพอควร
มันมากจนพอจะเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดถึงได้คิดที่จะขายเหมืองแร่เหมืองหนึ่งทิ้ง
“คาดว่าปริมาณแร่ถ่านหินที่ยังเหลืออยู่ในเหมืองลีลาร์น่าจะมีปริมาณน้อยมากค่ะ และผลลัพธ์ที่ได้จากการสอบถามคนในละแวกนั้น ดูเหมือนว่าเมื่อหลายเดือนก่อนมีคนจากอังเกนัสแวะเวียนไปแถวนั้นอยู่บ่อยครั้งด้วยค่ะ”
“สืบมาได้มั้ยคะว่าเป็นใครกัน”
“หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก โครอีธาน อังเกนัสค่ะ”
ไวโอเล็ตตอบอย่างมั่นใจ
“ท่าทางจะไม่ได้เดินทางไปอย่างลับๆ สินะคะ”
“ไปเงียบๆ ไม่ได้มีการแจ้งอะไรเป็นพิเศษก็จริง แต่มันเป็นสถานที่ที่เดิมทีไม่ได้มีการทำธุรกิจอะไรกับกลุ่มการค้าอังเกนัส ทำให้เมื่อจู่ๆ ก็ไปเคาะประตูบ้านเจ้าเมืองกลางดึกกลางดื่น แค่เพราะไม่ถูกใจโรงแรมในเขตลีลาร์ เลยเกิดข่าวลือในเมืองนั้นอยู่ช่วงหนึ่งน่ะค่ะ”
โธ่ แอบไปสืบอย่างลับๆ แท้ๆ แต่ดันโวยวายจนเรื่องแดงเพราะไม่พอใจเรื่องที่หลับที่นอนเนี่ยนะ
เธอส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
“ข่าวลือเรื่องแร่เหล็กล่ะคะ”
“ผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางไปพร้อมกับหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักบอกว่า ละแวกนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะมีแร่เหล็กค่ะ”
ก็ต้องมีอยู่แล้วละ
ถึงจะมีน้อยมากเสียจนขุดเจาะไปได้แค่สามเดือนก็หมดแล้วก็เถอะ
“เพราะฉะนั้นราคาประมูล…คาดว่าจะอยู่ในช่วงหนึ่งพันสามร้อยเหรียญทองถึงหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญทองค่ะ”
ฟีเรนเทียพยักหน้าลง
แต่เหมืองถ่านหินลีลาร์จะถูกประมูลในราคาสองพันเหรียญทองอย่างที่เธอบอก
แน่นอนว่าการประเมินของไวโอเล็ตถือว่าเหมาะสมแล้วเพราะเธอรู้ราคาประมูลในอนาคต แต่ไวโอเล็ตไม่รู้เท่านั้นเอง
“เผื่อเอาไว้ก่อน ยังไงทางเราก็จัดเตรียมเงินสักประมาณสองพันหนึ่งร้อยเหรียญทอง รวมกับเงินทุนที่เตรียมไว้ก็แล้วกันค่ะ”
“ค่ะ ทราบแล้วค่ะ”
และในตอนที่บทสนทนากำลังจะจบลงไปทั้งแบบนั้น
เครย์ลีบันที่นั่งเงียบไม่พูดอะไรเลยตลอดเวลาที่เธอกับไวโอเล็ตสนทนากัน ก็เปิดปากพูดขึ้นมา
“บางทีอาจจะต้องเตรียมให้เยอะกว่านั้นอีกหน่อยก็ได้ครับ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ”
“ลอมบาร์เดียเองก็คิดที่จะเข้าร่วมการประมูลเหมืองแร่ลีลาร์ครับ”