เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 2 บทที่ 82.2
“เทีย! เทีย!”
เครนีย์ที่วิ่งไปเสียไกลวิ่งกลับมาด้วยใบหน้าร่าเริง
“เอามงกุฎดอกไม้ไปให้คิลลีวูกับเมโลนกันเถอะ!”
“ทำให้สองแฝดด้วยนี่เอง! เครนีย์ใจดีจังเลยนะ นี่ก็ถึงเวลาที่สองคนนั่นจะกลับบ้านหลังจากฝึกเสร็จพอดี เราไปกันเลยดีมั้ย”
“อื้อ!”
โล่งอกที่สถานที่ที่คู่สามีภริยาชานาเนสกับสองแฝดอาศัยอยู่ไม่ได้ไกลจากที่นี่เท่าไหร่นัก
เธอลุกขึ้นเดินตามหลังเครนีย์กับลาลาเน่ไป
โอ๊ย ปวดไปหมดทั้งตัว
เพราะนั่งเล่นอยู่บนพื้นทุ่งหญ้าแข็งๆ ตั้งหลายชั่วโมง ทำเอาปวดเมื่อยตามข้อต่อไปหมดเลย
ถึงแม้อายุจะอยู่ในช่วงที่ยังมีสปิริตสูงก็เถอะ แต่มันก็เป็นแบบนั้นไปแล้ว
“ข้าล้างมือให้เครนีย์ก่อน แล้วเดี๋ยวตามไปนะ เจ้าเอามงกุฎดอกไม้ล่วงหน้าไปก่อนเลย”
“อื้อ เข้าใจแล้ว”
ลาลาเน่กับเครนีย์จับมือกันเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เธอเลยเดินมุ่งหน้าตรงไปยังห้องรับรองของสองแฝดคนเดียว
“ไม่มีใคร…”
ผลักประตูที่เปิดค้างไว้เดินเข้าไปหาคู่แฝด แต่กลับได้ยินเสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านใน
“…เหมืองถ่านหินลีลาร์…กำลังดำเนินการไปได้ด้วยดีตามที่คาดการณ์…”
เหมืองลีลาร์?
ฟีเรนเทียรีบซ่อนตัวหลังเสา จากนั้นก็พยายามเก็บซ่อนลมหายใจของตนให้แผ่วเบาที่สุด
‘คนแบบนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มการค้าของอังเกนัสเนี่ยนะ’
เวสตินมองบุคคลที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตน ในขณะที่ลอบยิ้มเยาะในใจ
คนคนนี้นอกจากเกิดในตระกูลที่ดีแล้ว ไม่ว่าจะด้านไหนๆ ก็ไม่มีด้านใดเลยที่ทำได้ดีกว่าเวสติน
เรื่องที่อีกฝ่ายทำได้ดี นอกจากเรื่องที่เกิดมาโดยมีสายเลือดของตระกูลชั้นสูงอย่างอังเกนัสแล้ว ก็ไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่เรื่องเดียว
หัวหน้ากลุ่มการค้าอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นตำแหน่งที่มีค่าเกินกว่าจะได้รับจริงๆ
ทั้งลอมบาร์เดีย ทั้งอังเกนัส
พวกมันก็เป็นแค่พวกโง่เขลาที่ทุกคนประเมินค่าจนสูงเกินไปเท่านั้น
“ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อใจท่านชายนะครับ…”
“มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ท่านนั้นเองก็ใส่ใจมากด้วยครับ”
เวสตินยิ้มเอาใจอีกฝ่ายพลางเอ่ยพูด
“วันจัดงานประมูลก็อย่างที่เคยแจ้งไปก่อนหน้านี้ครับ จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง”
“โล่งอกที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนะครับ ถ้าอย่างนั้นราคาประมูลเองก็…”
“ไม่เปลี่ยนแปลงครับ ลอมบาร์เดียจะร่วมประมูลด้วยเงินจำนวนหนึ่งพันหกร้อยเหรียญทองตามที่สัญญาไว้ครับ”
หลังจากเรื่องนี้จบลง ฐานะของเขาคงจะเกิดปัญหาเล็กน้อย แต่เวสตินไม่คิดที่จะกังวลอะไรกับเรื่องนั้นมากนัก
ถึงยังไงเขาก็เป็นบุตรเขยเพียงคนเดียวของรูลลัก ลอมบาร์เดีย
รูลลักเป็นคนมีจุดอ่อนอยู่เรื่องหนึ่ง หากเป็นสมาชิกในครอบครัวแล้ว ชายชราจะไม่มีวันทิ้งขว้างอีกฝ่าย ทั้งยังคอยให้การคุ้มครองจนถึงที่สุด ดังนั้นเขาแค่แสร้งทำเป็นสำนึกผิดสักหลายเดือนหน่อยก็เพียงพอแล้ว
หากทำเช่นนั้น ตระกูลชูลส์ก็จะได้สัมปทานในการขุดเจาะเหมืองลีลาร์ ถือว่าไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราดิวรักแค่ประมูลด้วยราคาหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญทองก็คงจะเพียงพอแล้วสินะ”
“ใช่แล้วละครับ อย่างที่ปรึกษากันไว้”
“ฮ่าฮ่า นี่มันช่างดีจริงๆ”
หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักเกาศีรษะแกรกๆ หัวเราะด้วยใบหน้างุ่นง่าน
“ข้าเองก็แค่มาเพราะได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบสถานการณ์กับคุณชายเท่านั้นเองครับ น่าละอายใจจริงๆ เรื่องทุกอย่างก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรคแท้ๆ”
“ฮ่าๆ ชมกันเกินไปแล้วครับ แต่ก็อย่างที่บอกไป หวังว่าทางนั้นจะเชื่อใจและวางใจในตัวเวสติน ชูลส์คนนี้มากกว่านี้หน่อยนะครับ”
“นะ…นั่นสิ ข้าเองก็คิดเหมือนกัน ฮะฮะ”
หัวหน้ากลุ่มการค้าหลบสายตาอีกฝ่าย หัวเราะเสียงโง่เขลาตามความเคยชินที่ติดจนเป็นนิสัย
และเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงราวกับเป็นคนใจกว้างเสียเต็มประดา
“ไม่ต้องกังวลเรื่องสัมปทานขุดเจาะเหมืองแร่หรอกนะ หากพวกข้าชนะการประมูลเหมืองแร่ลีลาร์ละก็ มันจะกลายเป็นของตระกูลชูลส์ตามที่สัญญากันไว้”
แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อนั่นเป็นเงื่อนไขของข้อตกลงนี่นา
เวสตินยิ้มกว้าง พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้หัวเราะเยาะหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก
“ข้าเชื่อในอังเกนัส…”
แกรก
เวสตินได้ยินเสียงที่แผ่วเบามากจนแทบไม่ได้ยิน
เขาหยุดพูดในทันทีนัยน์ตาแหลมคมดั่งนกฮูกเริ่มกวาดสายตามองสำรวจไปทั่วห้อง
เสียงหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีบ้าบออะไรนั่น มันจางหายไปจนกลายเป็นเย็นชานานแล้ว
ในตอนนั้นเองเขาก็มองเห็นชายกระโปรงชุดเดรสสีฟ้าผลุบออกมาให้เห็นจากหลังเสาใกล้ๆ กับประตูเข้าออก
ตึก ตึก
เวสตินคว้าไหล่ของบุคคลตัวเล็กที่ซ่อนอยู่หลังเสาอย่างรุนแรง
สิ่งที่เขาคว้าติดมือออกมานั่นคือ เด็กผู้หญิงเจ้าของผมสีน้ำตาล สวมมงกุฎดอกไม้ที่ขนาดไม่ได้พอดีกับศีรษะเท่าไหร่นัก บุตรสาวของแคลอฮัน
“…เจ้า”
เวสตินตั้งใจจะลงมือสอบสวนด้วยใบหน้าขุ่นเคืองจนบิดเบี้ยวไม่น่ามอง
“คิลลีวูกับเมโลนอยู่มั้ยคะ เอามงกุฎดอกไม้มาให้น่ะค่ะ!”
ฟีเรนเทียชูมงกุฎดอกไม้สองชิ้นในมือ ในขณะที่ยิ้มกว้างด้วยใบหน้าสดใส
ให้ตายเถอะ โดนจับได้จนได้
เธอพยายามทำใจให้สงบ แสร้งยิ้มอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนมุมปากจะเอาแต่กระตุกไม่หยุด
เธออุตส่าห์อยู่เงียบๆ แล้วแท้ๆ นี่รู้ได้ยังไงกันเนี่ยว่าเธอซ่อนตัวอยู่ตรงนี้
ใบหน้าที่ดูใจดีเหมือนทุกวันนั่นหายไปแล้ว นัยน์ตาของเวสตินจ้องเธอเขม็งราวกับงูจงอางแผ่แม่เบี้ย
ใช่แล้ว นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขาสินะ
“เจ้าอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เพิ่งมาเมื่อครู่นี้เองค่ะ”
“ไม่เห็นจะได้ยินเสียงประตู”
“พอดีประตูเปิดอยู่ก็เลยเข้ามาน่ะค่ะ…ขอโทษค่ะ…”
เธอหดไหล่จนตัวลีบ แสร้งทำเป็นหวาดกลัว
ในตอนนั้นเองผู้ช่วยชีวิตของเธอก็เดินเข้ามา
“เทีย?”
เป็นลาลาเน่ที่จับมือเครนีย์เดินเข้ามานั่นเอง
“…ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ”
คงเพราะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศรอบตัวดูแปลกไป ลาลาเน่จึงหน้านิ่วลงเล็กน้อย
“เรื่องนั้น…”
“ไม่มีอะไรหรอก”
เวสตินปล่อยมือที่บีบไหล่เธอจนเจ็บออกพลางหัวเราะเสียงดัง
“ตายจริง แขกมาหลายคนเลยนะเนี่ย”
ชานาเนสปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าออกที่อยู่อีกด้านของห้องรับรอง
“คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอคะ ข้าเอาของว่างมาให้เทียกับพวกเด็กๆ พอดีเลย ให้เตรียมของคุณกับแขกด้วยมั้ยคะ…”
“ไม่ ไม่เป็นไรครับ พวกเรากำลังจะลุกกันพอดี”
เวสตินกลับมาเป็นคนเดิมเหมือนอย่างทุกวัน เขาตบไหล่หัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักพลางเอ่ยพูด
“วันนี้คงจะกลับดึกหน่อยนะครับ ไม่ต้องรอข้า เข้านอนก่อนได้เลยครับ”
เวสตินจุมพิตลงบนแก้มของชานาเนสอย่างอ่อนโยน แล้วเดินออกไปจากห้องรับรองในทันที
ฟีเรนเทียมองตามภาพด้านหลังท่าทางขลาดกลัวนั่นไป ก่อนจะหันกลับมามองชานาเนส
“สองแฝดยังไม่มาเลย…”
น้ำชากับขนมที่ชานาเนสยืนถืออยู่ยิ้มๆ มีเพียงแค่ส่วนสำหรับสองที่เท่านั้น ในถ้วยชาบนถาดที่ชานาเนสถืออยู่มีเศษใบชากระจายอยู่ทั่ว