เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 116.2
“เบ๊ต พกไม้ขีดมาด้วยใช่มั้ยคะ”
“ครับ พกมาครับ”
“เอาออกมาหน่อยสิคะ”
เบ๊ตเอียงคอด้วยความงุนงงเมื่อได้ยินคำสั่งของเธอ เขาหยิบเอาไม้ขีดกล่องหนึ่งออกมาจากกระเป๋ากางเกง
“ลองใช้มันเผาเช็คทีค่ะ”
“ครับ”
“เร็วเข้าสิคะ”
คำเรียกร้องอันน่าขันของเธอทำให้เบ๊ตต้องหันไปมองเครย์ลีบันกับไวโอเล็ต แต่แววตาของทั้งคู่กลับไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาเชื่อมั่นในการตัดสินใจของเธออย่างสมบูรณ์
“…ทราบแล้วครับ”
เบ๊ตกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เขาจุดไม้ขีด จ่อมันเข้ากับเช็คอย่างระมัดระวัง
“อ๊ะ? โอ๊ะ…?”
เช็คที่ภายนอกดูเหมือนกันจนแยกไม่ออก ใบหนึ่งกลับให้เปลวไฟสีแดงส้ม อีกใบให้เปลวไฟสีน้ำเงิน
“ปะ แปลกจริง”
เบ๊ตเป่าลมฟู่รีบดับไฟอย่างรวดเร็ว เขาลองจุดไม้ขีดอีกครั้ง
ครั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังเป็นเหมือนเดิม
“นี่คือวิธีแยกแยะของจริงกับของปลอมค่ะ”
ในชีวิตก่อนเหล่าพนักงานธนาคารได้ทำการรวบรวมเช็คปลอมที่สุดท้ายก็หาวิธีแยกแยะไม่ได้ เพื่อที่จะจัดการทำลายมันทิ้ง และนี่ก็เป็นวิธีการที่พวกเขาค้นพบขึ้นในตอนที่จะเผากำจัดมัน
แต่ก็นะ กว่าจะรู้ได้มันก็สายเกินไปแล้วอยู่ดี
“ได้ยังไงกัน ทราบได้ยังไงครับ”
เบ๊ตเบิกตากว้าง ถามเธอด้วยความตกใจ
ข้างในนัยน์ตาสีอำพันที่เบิกกว้างคู่นั้น เปี่ยมไปด้วยความปลาบปลื้ม
เธอมองหน้าเบ๊ต แล้วตอบเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ความลับทางธุรกิจค่ะ”
“…ครับ”
“ความ.ลับ.ทาง.ธุรกิจ.ค่ะ”
“อ่า…”
เบ๊ตมีสีหน้าหมองหม่น
ทางฝั่งเธอต่างหากล่ะ ที่มีความลับทางธุรกิจที่ไม่มีวันแพร่งพรายให้ใครรู้ได้ทั้งนั้นอยู่
เธอปล่อยเบ๊ตทิ้งไว้แบบนั้น แล้วหันไปมองเครย์ลีบันแทน
“เครย์ลีบัน”
“เชิญกล่าวมาได้เลยครับ ท่านฟีเรนเทีย”
นัยน์ตาที่มองเธอคู่นั้นกะพริบปริบเป็นประกายวิบวับ
“นำวิธีที่ข้าแสดงให้ดูเมื่อครู่ไปแจ้งท่านชานาเนสทีนะคะ”
“ได้ครับ ข้าจะจัดการให้ครับ”
“ต้องไปให้เร็วหน่อย ถึงจะแค่วันเดียวก็ยังดีค่ะ ไวโอเล็ตช่วยไปเอา ‘ของสิ่งนั้น’ ที่ฝากไว้ในห้องนิรภัยของธนาคารลอมบาร์เดียทีนะคะ เสร็จแล้วอย่าลืมเอามันไปให้เครย์ลีบันด้วยค่ะ”
“ค่ะ ท่านฟีเรนเทีย เลิกประชุมแล้วข้าจะไปทันทีค่ะ”
“แล้วก็เบ๊ตคะ ข้ามีเรื่องอยากไหว้วานอยู่เรื่องหนึ่งค่ะ”
เบ๊ตที่เหม่อลอยไปเพราะคำพูดของเธอเมื่อก่อนหน้านี้สะดุ้งโหยงตื่นจากภวังค์ทันที
“ช่วยสืบข้อมูลของคนคนหนึ่งให้ทีค่ะ ชื่อว่า…”
เบ๊ตเอียงคอมองด้วยความงุนงง เมื่อจู่ๆ เธอก็ขอให้ช่วยสืบเรื่องคนคนหนึ่งให้
“เรื่องแค่นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรอยู่แล้วครับ แต่…”
เบ๊ตตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ เขาก็หยุดพูด แล้วหันไปมองเครย์ลีบันกับไวโอเล็ต
แต่เพียงไม่นานก็พยักหน้าลงอย่างแข็งขัน ไม่รู้ว่าคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่
ท่าทางของเบ๊ตในตอนนี้ ดูแล้วคล้ายคลึงกับท่าทางของเครย์ลีบันกับไวโอเล็ตเวลาปฏิบัติต่อเธออย่างไรชอบกล
* * *
เย็นวันนั้น
ชานาเนสมาถึงห้องทำงานเจ้าตระกูลด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ก๊อก ก๊อก
“เบเจอร์ ข้าเข้าไปสักครู่ได้หรือไม่”
นางถามตารางงานมาจากพ่อบ้านก่อนแล้วถึงได้ตั้งใจแวะมาหลังจากที่งานทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว
และไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินคำตอบของเบเจอร์
“…เข้ามาสิครับ”
คำตอบนั่นฟังดูน่าสงสัยชอบกล แต่ชานาเนสไม่ได้คิดอะไรมาก
จนกระทั่งพบว่าเซรัลนั่งอยู่บนโซฟาในห้องทำงาน
“มาแล้วหรือครับ”
ทั้งสองคนกำลังนั่งกินขนมกันในห้องทำงาน ท่าทางจะสนุกกันมากทีเดียว
สีหน้าของเซรัลที่ถูกขัดจังหวะถึงได้ดูไม่ค่อยพอใจนัก
“ขอโทษด้วย พอดีข้ามีเรื่องอยากหารือกับเบเจอร์เสียหน่อย”
“…หารือหรือครับ”
เบเจอร์เป็นฝ่ายถามกลับไปด้วยเสียงกราดเกรี้ยวแทนเซรัล
“ท่านพี่มีเรื่องอะไรอยากหารือกับข้าที่เป็นรักษาการเจ้าตระกูลอย่างนั้นหรือครับ”
“…คุยกันตามลำพังแค่สองคนจะดีกว่ากระมัง”
ถึงแม้เบเจอร์จะพูดหยาบคายราวกับตั้งใจจะทำให้เสียศักดิ์ศรี แต่ชานาเนสก็ยังคงตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น
เบเจอร์เหลือบมองเซรัลหนึ่งครั้ง ก่อนจะพูดเสียงห้วน
“ต่อหน้าภริยาของข้า ไม่มีเรื่องใดพูดไม่ได้หรอกครับ แล้วมีเรื่องอะไรล่ะครับ ที่จะพูด”
หลังจากได้เป็นรักษาการเจ้าตระกูล เบเจอร์ก็เปลี่ยนการพูดจาเป็นเย่อหยิ่งจองหองเป็นอย่างมาก
“…ได้ เห็นว่าช่วงนี้มีเช็คปลอมว่อนไปทั่ว เรื่องนั้นเจ้ารู้อยู่แล้วหรือเปล่า”
“เช็คปลอม?”
เบเจอร์ขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
“ผู้จัดการธนาคาร เจ้านั่นมันไปหาท่านพี่อย่างนั้นหรือครับ”
“ไม่ใช่แบบนั้น…”
“กล้าดีเช่นไรถึงได้ข้ามหน้าข้ามตาข้าผู้เป็นรักษาการเจ้าตระกูล”
เบเจอร์ลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งในขณะที่ตะโกนเสียงดัง
“เบเจอร์ ใจเย็นก่อน ฟังที่ข้าพูด…”
“ทำไมข้าจะต้องฟังคำพูดของท่านพี่ที่บังอาจเมินเฉยอำนาจรักษาการเจ้าตระกูล ที่ท่านพ่อเป็นคนมอบให้ข้าด้วยล่ะครับ! ”
“…บังอาจ?”
น้ำเสียงของชานาเนสเองก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้วเหมือนกัน
“การที่ท่านพ่อมอบตำแหน่งเจ้าตระกูลชั่วคราวให้เจ้า ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะใช้อำนาจนั่นได้ตามอำเภอใจ เลียนแบบเหมือนตัวเองเป็นเจ้าตระกูลหรอกนะ เบเจอร์”
“เลียนแบบเป็นเจ้าตระกูล? ข้าทำหน้าที่ของข้าได้อย่างดีไม่มีบกพร่องครับ! ตอนนี้ท่านพี่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะมาพูดพล่ามโน่นนี่กับข้าได้นะครับ! ”
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าในหัวของเจ้า รักษาการเจ้าตระกูลมันเป็นตำแหน่งแบบใด แต่ข้าคงได้รู้สิ่งหนึ่งอย่างชัดเจนทีเดียว เจ้าไม่ได้เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าเช็คปลอมนี่ มันเป็นปัญหาร้ายแรงขนาดไหน เจ้าโง่”
“ระวังคำพูดด้วยครับ! ต่อให้เป็นท่านพี่ก็เถอะ ยังไงท่านพี่ก็ไม่สามารถหยาบคายไร้มารยาทกับข้าผู้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลได้นะครับ! ตอนนี้ข้าอยู่ในตำแหน่งแทนท่านพ่อครับ!”
ชานาเนสรู้สึกเวียนศีรษะไปหมด นี่มันเหมือนกับนางกำลังพูดกับกำแพงอย่างไรอย่างนั้น
สิ่งที่เบเจอร์สนใจมีเพียงแค่อำนาจและสิทธิในฐานะเจ้าตระกูลเท่านั้น
ดูจากการที่อีกฝ่ายเอาแต่นั่งอ้อยอิ่ง ทั้งๆ ที่นางพูดเรื่องเช็คปลอมก็รู้ได้แล้ว
“กับอีแค่เช็คปลอมไม่กี่แผ่นมันจะไปสำคัญอะไรนัก! ท่านพี่ต่างหากที่มัวแต่ยึดติดกับเรื่องหยุมหยิม แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ออกไม่ใช่หรือครับ”
เบเจอร์พ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดังหึ พลางพูดขึ้น
“คงจะอิจฉาที่ข้าได้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลสินะครับ เพราะอย่างนั้นถึงได้จงใจหาข้ออ้างเข้ามาก้าวก่ายงานของข้า มันเห็นกันชัดๆ อยู่แล้วนี่ครับ!”
ชานาเนสหัวเราะเสียงแผ่วด้วยไม่อาจทนต่อไปได้ไหว
เบเจอร์เชื่อว่าเช็คปลอมเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆ
และเบเจอร์คนนั้นยังมองว่าชานาเนสเป็นตัวขัดขวาง ผู้มีจิตใจชั่วร้ายอีกด้วย
“…ได้ เบเจอร์ ดูเหมือนข้าจะคาดหวังในตัวเจ้าสูงเกินไปเสียแล้ว”
ชานาเนสเหลือทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ได้ยินเสียงหัวเราะของเซรัลกับเบเจอร์ดังไล่ตามหลัง แต่ชานาเนสก็ไม่คิดที่จะเหลียวหลังหันกลับไปมอง
นางคิดว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะต้องไปเข้าพบท่านพ่อทันทีเสียแล้ว
ชานาเนสกลับมายังบ้านของตัวเองด้วยใจที่หนาวเหน็บ แต่แล้วนางก็พบว่ามีใครบางคนกำลังรอนางอยู่หน้าประตูบ้าน
“ท่านชานาเนส ถึงแม้จะค่ำแล้ว แต่พอจะสนทนากันสักครู่ได้มั้ยครับ”
คนที่กล่าวทักทายด้วยความสุภาพ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาคือ เครย์ลีบัน เพลเลส