เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 117.2
ภายในห้องเหลือเพียงความเงียบ
เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น แต่บางทีสำหรับเหล่าเจ้าตระกูลทั้งหลาย พวกเขาคงรู้สึกว่ามันไม่ต่างอะไรกับชั่วนิรันดร์
“ทุกคนคิดเช่นนั้นหรือ”
ท่านปู่ถามเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าตระกูลท่านอื่นๆ ที่ไม่อาจมาพร้อมหน้ากับพวกเรา ณ ที่แห่งนี้ได้ ต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันครับ ท่านเจ้าตระกูล”
“หลังจากท่านเบเจอร์ดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูล จำนวนงานที่ต้องจัดการก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ผลิมันเป็นช่วงที่ต้องเดินทางไปทั่วอาณาจักรด้วยแบบนี้ยิ่งมีแต่จะทำให้ทางจุดกระจายสินค้าของทางเราลำบากมากครับ ท่านเจ้าตระกูล”
“พวกเราวิลเคย์เองก็เหมือนกันครับ จู่ๆ ท่านเบเจอร์ก็สั่งให้พวกเราลองทบทวนดูว่ากิจการวิศวกรรมโยธาที่ดำเนินการได้อย่างราบรื่นเป็นอย่างดีอยู่แล้วในทางเหนือ สมควรที่จะย้ายไปทางตะวันตกได้แล้ว…”
บรรดาเจ้าตระกูลต่างก็พร่ำบ่นตามความเป็นจริง โดยที่ไม่คิดข้ามเส้นให้ดูไร้มารยาทมากเกินไป
ท่านปู่รับฟังเรื่องราวจากพวกเขาทุกคน ก่อนจะถามขึ้น
“แล้วต้องการให้ข้าทำเช่นไร”
“จนกว่าท่านเจ้าตระกูลจะฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ พวกข้าจะจัดการกันเองครับ”
“แต่ละตระกูลจะบริหารจัดการงานกันเองอย่างนั้นหรือ”
“…แบบนั้นก็คงจะดีกว่าครับ”
คำพูดพวกนี้ หากไม่ได้เป็นเพราะไม่พอใจถึงขีดสุดจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เหล่าเจ้าตระกูลย่อมไม่มีทางพูดออกมาอยู่แล้ว
การที่บรรดาผู้คนซึ่งจงรักภักดีในลอมบาร์เดีย และใกล้ชิดกับท่านปู่ต่างพากันออกหน้าพูดเช่นนี้แล้ว ว่ากันตามตรงก็เห็นกันอยู่ชัดๆ
“เจ้าคิดเช่นไร ก็อดดริก”
“ข้า…”
ในระหว่างที่ก็อดดริก เบรย์จากธนาคารลอมบาร์เดียได้แต่อ้ำอึ้งเมื่อจู่ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ ท่านปู่ก็ถามอีกคำถาม
“เพราะจัดการเรื่องเช็คปลอมได้อย่างไม่น่าพอใจนัก เจ้าเองก็คงจะลำบากใจมากไม่ใช่น้อย”
“ทราบด้วย…หรือครับ”
ก็อดดริกยอมรับตามตรง
“ใช่แล้วครับ อันที่จริงเพราะเรื่องนั้นข้าถึงได้แน่ใจครับ ท่านเบเจอร์ไม่มีความสามารถพอจะทำงานในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลได้เลย”
“…หากเป็นเจ้าจะแก้ไขปัญหาเช่นไรล่ะ”
“ถ้าหากข้ามีอำนาจในการตัดสินใจ…”
แต่แล้วในตอนที่เธอกำลังเอียงหูฟังคำตอบของก็อดดริก เบรย์
จึ๊ก จึ๊ก
ใครบางคนสะกิดไหล่เธอ ทำเอาเธอสะดุ้งรีบหันกลับไปมองด้วยความตกใจ
“ทำไมมาอยู่ข้างนอกล่ะ”
ชานาเนส
“อา คือว่า…”
เธอรีบผละห่างออกจากประตูพลางตอบอย่างรวดเร็ว
“พอดีเหล่าเจ้าตระกูลใต้บังคับบัญชามากันน่ะค่ะ กำลังคุยกันอยู่ด้านใน”
“อย่างนั้นนี่เอง”
ทั้งๆ ที่เห็นชัดๆ ว่าเธอแอบฟังบทสนทนาอยู่
ชานาเนสกลับไม่ตำหนิอะไรเธอสักคำ
“มะ มาพบท่านปู่เหรอคะ”
“มีเรื่องจะแจ้งท่านสักครู่น่ะ แต่เหล่าเจ้าตระกูลมาพบอย่างนั้นหรือเนี่ย…”
ชานาเนสเหลือบมองเข้าไปในห้องที่ยังคงได้ยินเสียงพูดคุยดังลอดออกมา เพียงไม่นานนางก็พูดราวกับตัดสินใจแล้ว
“บางทีเป็นแบบนี้อาจจะดีแล้วก็ได้”
ก๊อก ก๊อก
ชานาเนสเคาะประตู ในขณะเดียวกันเสียงที่เคยดังออกมานอกห้องก็เงียบลงในทันที
“ท่านพ่อ ข้าเองค่ะ”
“ชานาเนสหรือ เข้ามาสิ”
ถึงแม้จะน่าเสียดาย แต่เพราะยังไงเธอก็ไม่สามารถแทรกบทสนทนาของพวกผู้ใหญ่ได้ เธอจึงก้าวถอยหลังไปจากประตู
แต่ชานาเนสกลับหมุนตัวหันกลับมาหาเธอ แล้วพูดขึ้น
“เจ้าก็เข้ามาด้วยสิ”
“คะ ข้าเหรอคะ”
“ใช่ เจ้าเข้ามาฟังด้วยน่าจะมีประโยชน์มากกว่า”
ชานาเนสกล่าวเช่นนั้น แล้วเดินหายเข้าไปข้างใน
ฟังไว้น่าจะมีประโยชน์อย่างนั้นเหรอ
นั่นหมายความว่ายังไงกันล่ะเนี่ย
เกิดคำถามหลายอย่างขึ้นในหัวสมอง แต่เธอก็สลัดมันทิ้งไปก่อน แล้วเดินตามหลังชานาเนสเข้าไปในห้องเงียบๆ
* * *
“มีคนมากมายมาเยี่ยมแต่เช้าตรู่แบบนี้ น่าดีใจจังเลยนะคะ ท่านพ่อ”
ชานาเนสเดินเข้าไปด้านในด้วยจังหวะฝีเท้านุ่มนวล นางพูดเบาสบาย
“ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ ท่านชานาเนส”
เจ้าตระกูลหลายท่านทักทายชานาเนสด้วยความยินดี
สีหน้าทะมึนจากการนึกถึงเบเจอร์จนถึงเมื่อครู่นี้ พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาหนึ่งระดับเมื่อได้พบกับชานาเนส
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อาจควบคุมความรู้สึกเสียใจได้เลย
ถ้าหากคนที่นั่งตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูลไม่ใช่เบเจอร์ แต่เป็นชานาเนสแล้วละก็
พวกเขาก็คงไม่ต้องเหนื่อยใจแล้วเหนื่อยใจเล่า จนต้องทำเรื่องเสียมารยาท ดั้นด้นวิ่งโร่มารบกวนท่านเจ้าตระกูลที่กำลังนอนป่วยติดเตียงแบบนี้หรอก
“วันนี้ไม่ไปทำงานหรือ ชานาเนส”
“ค่ะ ทุกคนในกิจการขุดเจาะต่างก็เหนื่อยล้าจากการพยายามจนได้สิทธิสัมปทานเหมืองทางเหนือ วันนี้เลยให้หยุดพักกันได้หนึ่งวันค่ะ”
คำพูดของชานาเนสทำให้โรมาเชีย ดิลลาร์ดจากกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียถึงกับแสดงสีหน้าดีใจ ก่อนจะพูดขึ้น
“ได้ยินมาเหมือนกันครับ เห็นว่าครั้งนี้ได้รับสิทธิสัมปทานขุดเจาะเหมืองที่ใหญ่มากเลยใช่มั้ยครับ”
“หลังจากท่านชานาเนสกลับมาทำงานอีกครั้ง กิจการขุดเจาะก็เจริญขึ้นทุกวันเลยนะครับ คราวหลังช่วยบอกเคล็ดลับให้พวกข้าบ้างสิครับ! ”
ชานาเนสประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากราวกับนกติดปีก จนถึงขนาดรู้สึกเสียดายวันเวลาที่นางวางมือไม่ยุ่งกับกิจการตลอดเวลาที่ผ่านมาทีเดียว
“พอดีมีเรื่องอยากปรึกษาท่านพ่อ ก็เลยมาขอเข้าพบค่ะ”
“เรื่องปรึกษา?”
“ค่ะ แต่ก่อนหน้านั้น”
ชานาเนสมองสบตารูลลักตรงๆ ในขณะที่พูดขึ้น
“ช่วยเรียกเบเจอร์มาสักครู่ได้มั้ยคะ ท่านพ่อ”
“…เจ้าคงมีเหตุผลที่พูดเช่นนั้นสินะ ได้”
รูลลักส่งคนไปยังห้องทำงานเจ้าตระกูลในทันที ไม่นานหลังจากนั้น เบเจอร์ก็ลงมาถึงห้องนอน
“จู่ๆ เรียกข้ามามีเรื่องอะไร…”
ทันทีที่เข้ามาในห้องแล้วเห็นชานาเนสกับบรรดาเจ้าตระกูลทั้งหลายที่มารวมตัวกัน เบเจอร์ก็ขมวดคิ้วด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“ก็ว่าทำไมทุกคนไม่มารายงานเสียที”
เบเจอร์หันไปมองใบหน้าของเจ้าตระกูลทั้งหลายที่ยืนอยู่เรียงตัว
“ท่านพี่มาทำอะไรที่นี่ครับ”
กระทั่งกับชานาเนสเอง ก็ยังพูดจาเสียดสีเหน็บแนมไม่หยุด
“เบเจอร์ ระวังคำพูดด้วย”
พฤติกรรมของบุตรชายคนโตที่ทำตัวเช่นนั้น ทำให้รูลลักถึงกับต้องยกมือขึ้นนวดขมับที่ปวดตุบๆ
แต่เบเจอร์ยังคงพูดพล่ามต่ออีกหลายประโยค
“วิ่งแจ้นมาฟ้องท่านพ่อหรือไง ว่าไม่ถูกใจงานที่ข้าทำ”
ในขณะเดียวกันบนใบหน้าของบรรดาเจ้าตระกูลก็ปรากฏความไม่พอใจวาบขึ้นมา โดยไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ได้ แต่เบเจอร์กลับยิ่งกระตุกยิ้มเยาะ
“ถ้ามีเรื่องจะพูด ก็น่าจะมาพูดกับข้าตรงๆ แต่นี่กลับเมินอำนาจของข้าผู้เป็นรักษาการเจ้าตระกูลแบบนี้เนี่ย…”
“เบเจอร์ หยุดได้แล้ว! ”
สุดท้ายรูลลักก็อดทนไม่ไหวอีกต่อไป จนต้องตะโกนเสียงดังลั่น
“ชานาเนสมาพบข้าเพราะมีเรื่องอยากหารืออย่างเป็นทางการ นางต้องการให้เจ้าเข้าร่วมด้วย ข้าถึงได้ให้คนไปเรียกตัวเจ้ามา! เพราะฉะนั้นระวังคำพูดของเจ้าด้วย!”
เบเจอร์เบ้ปากด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะถามด้วยเสียงไม่พอใจเหมือนเดิม
“หารืออย่างเป็นทางการหรือครับ”
สายตาดุดันของเบเจอร์มุ่งตรงไปยังชานาเนสในทันที
แต่ชานาเนสไม่คิดสนใจอะไรพวกนั้น นางยังคงรักษาท่วงท่าสงบเยือกเย็นเอาไว้
นางหันหน้าไปมองทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ในห้อง แล้วจึงหันไปมองฟีเรนเทียเป็นคนสุดท้าย
หลานสาวตัวน้อยของนางซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งของประตูอย่างชาญฉลาด และกำลังเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่
และหันไปมองรูลลักที่นั่งพิงหัวเตียง ในขณะที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง
“ข้าต้องการหารือเรื่องที่จะปลดเบเจอร์ออกจากตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูล และแต่งตั้งข้า ชานาเนส ลอมบาร์เดียขึ้นดำรงตำแหน่งแทน นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปค่ะ”