เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 118.1
หินก้อนใหญ่ที่ชานาเนสโยนออกไปส่งผลก่อเกิดเป็นคลื่นลูกยักษ์
พายุแห่งความเงียบสงบพัดผ่านเข้ามากวาดล้างห้องนอนในพริบตา
“เฮือก…!”
มีเพียงแค่เสียงสูดลมหายใจของใครบางคนดังขึ้นเท่านั้น
ในวินาทีนั้นเอง
เบเจอร์ก็ฟิวส์ขาด ตะโกนเสียงดังลั่นด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“พูดพล่ามบ้าอะไรกันครับ!”
“เบเจอร์! ”
รูลลักตะคอกเสียงดังเป็นการเตือน แต่มันกลับไม่อาจขวางเบเจอร์ที่ขาดสติไปแล้วได้
“ท่านพี่รู้ตัวหรือเปล่าครับว่าพูดอะไรออกมา!”
“ใช่แล้ว เบเจอร์ ข้ารู้ดีว่าตัวข้ากำลังพูดเรื่องอันใด”
เสียงสงบนิ่งเยือกเย็นของชานาเนส ดูแล้วช่างแตกต่างจากท่าทางของเบเจอร์ที่เดือดพล่านอย่างสิ้นเชิง
“ข้ากำลังบอกว่า ข้าจะขึ้นครองตำแหน่งนั่นแทนที่เจ้าที่ไร้ความสามารถยังไงล่ะ”
เปลวไฟแห่งความโกรธลุกโชนขึ้นในนัยน์ตาของเบเจอร์อีกครั้ง
เบเจอร์สาวท้าวพรวดเดินตรงเข้าไปใกล้ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ราวกับต้องการจะจัดการชานาเนสมันเสียประเดี๋ยวนี้
“ข้าไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรเสียด้วยสิ”
“เฮ้ ท่านพี่! ”
เบเจอร์เกือบจะหลุดร้องเสียงดังอ๊ากออกมา เขาพ่นเสียงหัวเราะดัง ‘เหอะ’ กวาดสายตาไล่มองชานาเนสตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
แล้วพูดขึ้นราวกับมันเป็นเรื่องน่าขันเสียเต็มประดา
“ผู้หญิงคิดอยากเป็นรักษาการเจ้าตระกูลอย่างนั้นหรือ จะฝันเฟื่องอะไรก็น่าจะมีขอบเขตบ้างนะครับ”
“เพราะข้าเป็นผู้หญิง จึงเป็นไปไม่ได้”
ชานาเนสเองก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่คิดยอมแพ้ นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเบเจอร์ตรงๆ
“ได้ ถ้าอย่างนั้นนอกจากเรื่องที่ข้าเป็นหญิงแล้ว หากมีเรื่องใดที่ข้าเทียบเจ้าไม่ได้ ก็ลองพูดมาสิ เบเจอร์”
เบเจอร์เปิดปากราวกับจะพูดท้วงติงออกไปในทันที แต่กลับไม่มีเสียงใดดังออกมาจากปากของเขา
อีกทั้งใบหน้ากลับยิ่งแดงก่ำมากกว่าเมื่อครู่เสียอีก
ที่ผ่านมาเบเจอร์ไม่เคยพ่ายแพ้กับการโต้เถียงแบบนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว
เพียงแค่ชื่อ ‘ลอมบาร์เดีย’ ก็สามารถกดข่มทุกคนได้ในพริบตา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ตาม
แต่ไม่ใช่กับชานาเนส
ชานาเนสเองก็เป็นลอมบาร์เดียเช่นกัน
อีกอย่างก็เป็นตามที่ชานาเนสพูดจริงๆ ไม่มีด้านใดเลยที่เบเจอร์จะทำได้ดีกว่าชานาเนส
เพราะฉะนั้นเบเจอร์จึงพูดเสียดสีอีกครั้งด้วยใบหน้าแดงก่ำแทนคำตอบ
“คิดจะใช้วิธีนี้เพื่อเรียกร้องให้ได้เป็นตัวเลือกผู้สืบทอดลอมบาร์เดียในภายหลังสินะครับ”
แต่ชานาเนสก็ยังคงตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งสงบ
“ดูเหมือนเจ้ายังไม่ตระหนักอีกสินะ ว่าจนถึงตอนนี้ข้ากำลังทำเรื่องอะไรอยู่”
มันเป็นคำพูดที่แฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันอยู่เล็กน้อย
“ท่านพี่!”
สุดท้ายเบเจอร์ก็อดทนต่อไปอีกไม่ไหว เขาตะโกนเสียงดังอีกครั้ง
“ในอาณาจักรแลมบลูไม่มีตระกูลใดมีเจ้าตระกูลเป็นผู้หญิงครับ!”
“ตามกฎหมายอาณาจักรเองก็ไม่ได้มีข้อห้ามเสียหน่อย มันเป็นเพียงแค่เส้นทางที่ยังไม่มีใครลองเดินเท่านั้นเอง”
“นะ หน็อย…! ”
เบเจอร์หาคำพูดโต้เถียงกลับไปไม่ถูก เขาได้แต่กัดฟันกรอด
ในตอนนั้นเอง
เพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น แต่เบเจอร์กลับนึกถึงจุดที่เขาดีกว่าชานาเนสขึ้นมาได้ในหัวสมอง
มันเป็นคำที่จะทิ่มแทงใจชานาเนสได้ดียิ่งกว่าคำไหนๆ เบเจอร์จึงไม่ลังเลเลยที่จะชักดาบเล่มนั้นออกมาถือไว้ในมือ
“ตระกูลที่มีเจ้าตระกูลเป็นหญิงแถมยังโดนไอ้โง่อย่างเวสตินล่อลวงจนต้องหย่ายังไม่พอ ยังคิดจะทำให้ลอมบาร์เดียต้องอับอายเป็นตัวตลกในสภาขุนนางอีกหรือไงครับ ท่านพี่”
หลังจากได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนบรรดาเจ้าตระกูลได้แต่ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“จะ เจ้า!”
มันแรงมากเสียจนแม้แต่รูลลักที่นั่งอยู่บนเตียงยังต้องหันไปมองรอบๆ เพื่อมองหาของสักอย่างที่สามารถใช้เขวี้ยงใส่เบเจอร์ได้
ชานาเนสพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เบเจอร์ยืนมองนางที่เป็นเช่นนั้น เขาลงมือเล่นงานบาดแผลที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของนาง จากนั้นก็ยืนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
“พวกเราลอมบาร์เดียต้องสนใจสายตาของชนชั้นสูงคนอื่นๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
จนกระทั่งชานาเนสถามกลับอย่างหนักแน่น ด้วยน้ำเสียงไม่สั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย
“พวกขุนนางนินทาข้าหรือไร ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาทำไปสิ ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีอะไรให้ต้องอับอายอยู่แล้ว แต่อย่าลืมเสียล่ะ เบเจอร์”
ความเป็นปรปักษ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นบนนัยน์ตาของชานาเนส พลันลุกโชนขึ้นอย่างรุนแรง
“ทั้งๆ ที่เจ้ารู้จุดประสงค์ของเวสติน ชูลส์เป็นอย่างดี แต่ก็ยังเมินเฉยมองข้ามมันไป ทั้งยังแอบมอบบ้านเรือนให้หญิงชู้รักของเขาอีกด้วย”
ร่างกายของเบเจอร์ผวาเฮือกใหญ่
เพราะเขาไม่เคยนึกเลยว่าชานาเนสจะรู้ความจริงที่ว่านั่นด้วย
ชานาเนสจ้องหน้าเบเจอร์ด้วยความเย็นชาในขณะที่พูดขึ้น
“หากข้าเป็นตัวตลกของตระกูล แล้วเจ้าล่ะ เป็นตัวอะไร”
เสียงนั่นทำเอาเบเจอร์ขนลุกชันไปหมด
ชานาเนสรู้เรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว แต่ทั้งๆ ที่รู้อยู่แบบนั้น นางก็ไม่เคยแสดงออกให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ดังนั้นโทสะที่สั่งสมพอกพูนมาโดยตลอด เมื่อแสดงออกมาให้เห็นต่อหน้าเบเจอร์ มันก็มากพอแล้วที่จะทำให้เขากลายเป็นพังพอนตัวหนึ่งที่ได้แต่หลบซ่อนตัวอยู่แต่ในโพรง
ชานาเนสกวาดสายตาไล่มองเบเจอร์ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เหมือนอย่างที่เบเจอร์ทำกับนางเมื่อครู่ แล้วพูดขึ้น
“ลอมบาร์เดียไม่ลดตัวลงไปยุ่งกับขุนนางของอาณาจักรพวกนั้นหรอก เพราะพวกเราเป็นคนควบคุมอยู่เหนือพวกนั้นยังไงล่ะ แต่เจ้าคงลืมความจริงที่ว่านั้นไปแล้วกระมัง”
ภาพชานาเนสยามแย้มรอยยิ้มจางในตอนนี้ ดูแล้วเข้มแข็งและงดงามมากเสียยิ่งกว่าตอนไหนๆ