เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 118.2
เบเจอร์ได้แต่กวาดสายตามองปฏิกิริยาของทุกคนในห้อง ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อาจหาคำพูดโต้แย้งออกไปได้เลย
ทั้งรูลลัก ทั้งบรรดาเจ้าตระกูลใต้บังคับบัญชาทั้งหลาย ทุกคนต่างก็กำลังมองเบเจอร์ด้วยนัยน์ตาเย็นชา
บรรยากาศกำลังหมุนไปในทิศทางที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อเขา
“ข้าไม่มีเวลามานั่งฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอกนะครับ! แค่เวลาที่ต้องใช้จัดการงานของเจ้าตระกูลก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว!”
เบเจอร์ตะโกนเสียงดัง เขาตั้งใจจะใช้จังหวะนี้รีบปลีกตัวหลบออกไปจากที่นี่
แต่เสียงแผ่วเบาไม่ได้ดังเท่าไหร่ ทว่ามันเป็นเสียงที่ไม่อาจเมินเฉยมองข้ามได้เด็ดขาด กลับตรึงรั้งข้อเท้าของเขาเอาไว้
“เบเจอร์”
รูลลักนั่นเอง
“ครั้งนี้ข้าขอเป็นฝ่ายถามก็แล้วกัน หลายวันที่ผ่านมาในระหว่างที่เจ้าได้เป็นเจ้าตระกูลแทนข้า งานใดคืองานที่เจ้าทุ่มแรงมากที่สุดล่ะ”
“นี่กระทั่งท่านพ่อก็ยังสงสัยในความสามารถของข้าหรือครับ”
เบเจอร์แสร้งทำเป็นใช้อารมณ์เรียกร้องความสงสาร แต่รูลลักกลับไม่หลงกล
“…เบเจอร์ เจ้าทำงานในฐานะรักษาการเจ้าตระกูล ย่อมหมายความว่าเจ้าต้องรับผิดชอบต่อผู้คนมากมายที่ช่วยขับเคลื่อนลอมบาร์เดีย รวมถึงเจ้าตระกูลอย่างข้าด้วยเช่นกัน ดังนั้นจงตอบมาเสีย ในฐานะเจ้าตระกูลชั่วคราว สิ่งใดคืองานที่เจ้าคิดจะทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา”
“เรื่องนั้น…”
หลังจากรู้ตัวว่าไม่อาจปลีกตัวหลบได้อีกต่อไป เบเจอร์ก็พยายามใช้หัวสมองครุ่นคิดอย่างแข็งขัน
ถึงยังไงรูลลักก็ยังยอมให้โอกาสเขาได้ตอบ
ถ้าอย่างนั้นย่อมหมายความว่าเขายังมีโอกาสที่จะชนะได้อยู่
เบเจอร์รีบเอ่ยคำตอบที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ในหัวสมอง ด้วยคิดว่ามันเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้ว
“ตามความคิดของข้าแล้ว ลอมบาร์เดียมีเงินทองเยอะมากพอแล้วครับ แต่เพราะกิจการของตระกูลในแต่ละด้านเอาแต่ยึดติดเรื่องเพิ่มพูนทรัพย์สินของตัวเองมากเกินไปข้าจึงตั้งใจว่าจะลดทอนมันลงให้เป็นกลางมากขึ้นครับ”
“ทำตัวให้เป็นกลางที่เจ้าพูดถึงนั่น ไหนลองอธิบายมาอย่างละเอียดซิ”
“ลอมบาร์เดียมีศัตรูมากเกินไปครับ การจะทำให้ชนชั้นสูงสมกับเป็นชนชั้นสูงจริงๆ ข้าคิดว่าสิ่งที่สำคัญคือการมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับตระกูลอื่นๆ ครับ ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะทำให้ลอมบาร์เดียสมกับเป็นชนชั้นสูงให้มากยิ่งขึ้น”
“ดังนั้นเจ้าจึงสนใจอยู่กับการให้เงินกู้แก่ชนชั้นสูงที่เจ้าสนิทสนม มากกว่าเช็คปลอมอย่างนั้นหรือไง”
คำพูดของรูลลักทำให้นัยน์ตาคมปลาบของเบเจอร์หันไปจ้องก็อดดริก เบรย์ในทันที
“ตอบคำถามข้า เบเจอร์”
“…ครับ ใช่แล้วครับ และข้าก็ไม่ได้มองข้ามปัญหาเรื่องเช็คปลอมเสียทีเดียวนะครับ เพียงแต่ข้าพยายามจัดการทุกอย่างตามลำดับความสำคัญก็เท่านั้นเอง”
ลำดับความสำคัญ
รูลลักถอนหายใจเสียงแผ่ว
คนไม่รู้ยังพอสอนสั่งกันได้
คนโง่เขลาก็ยังพอจะปลุกกันได้
“ปัญหาเรื่องเช็คปลอม มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรเลยไม่ใช่หรือครับ!”
แต่คนที่ปักใจเชื่อมั่นในความเชื่อผิดๆ ไปแล้วนั่น ไม่มีหนทางใดแก้ไขได้เลย
รูลลักหันไปมองชานาเนสพลางถามขึ้น
“ถ้าเป็นเจ้า จะทำเช่นไร”
“ถ้าเป็นข้าจะสั่งให้หยุดจ่ายเช็คเดิมในทันที แล้วเริ่มผลิตเช็ครูปแบบใหม่ค่ะ ส่วนคนที่ครอบครองเช็ครูปแบบเดิม ก็จะรีบให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นเช็ครูปแบบใหม่โดยเร็วค่ะ”
“ตัวอย่างเช่น?”
“ให้มีการระบุยอดเงินไว้ล่วงหน้าบนเช็คก็น่าจะดีค่ะ”
“โอ้…”
เหล่าเจ้าตระกูลหลายๆ ท่านต่างส่งเสียงอุทานด้วยความชื่นชม
หากเป็นวิธีการดังกล่าว บางทีอาจจะลดความเสียหายลงได้มากทีเดียว
แต่เบเจอร์กลับแสยะยิ้มพูดกระแนะกระแหน
“นั่นมันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเรื่องเช็คปลอมนี่ครับ สุดท้ายก็ไม่อาจหลบเลี่ยงความเสียหายที่เกิดจากเช็คปลอมที่คนร้ายปลอมแปลงมันขึ้นมาได้อยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะทำเช่นไรล่ะ เบเจอร์”
“ถ้าเป็นข้าก็จะไม่แลกเช็คเป็นเงินสดให้ที่หน้าเคาน์เตอร์ในทันทีครับ แต่จะให้รอประมาณหนึ่งสัปดาห์จนกว่าทางเจ้าหน้าที่จะตรวจเช็คเสร็จ”
“แบบนั้นไม่ได้ค่ะ”
ชานาเนสออกตัวคัดค้านคำพูดของเบเจอร์อย่างหนักแน่น
“ธนาคารลอมบาร์เดียดำเนินกิจการโดยใช้เครดิตว่า ผู้คนสามารถเชื่อมั่นและนำเงินมาฝากพวกเราได้นะคะ แต่ถ้าจู่ๆ กลับไม่อาจถอนเงินสดที่พวกเขาฝากเอาไว้ได้ในทันที จะมีใครเชื่อมั่นในตัวธนาคารอีกล่ะคะ”
“ถ้าอย่างนั้นจะให้ทำยังไงครับ นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ถ้างั้นก็หาวิธีแยกแยะเช็คปลอมให้ได้สิ จะได้แยกออกมันทันทีเลยไง! ”
เบเจอร์ตะโกนเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
มันเป็นของปลอมที่แนบเนียนมาก ขนาดพนักงานธนาคารที่จับเช็คอยู่ทุกวันยังถูกหลอกได้ในพริบตา
ต่อให้เป็นท่านพี่ จะจัดการแก้ไขอะไรได้
เบเจอร์จึงยกยิ้มด้วยความผ่อนคลายไม่คิดอะไรมาก
แต่รอยยิ้มนั่นกลับคงอยู่ได้ไม่นาน
“ข้ามีวิธีแยกของจริงกับของปลอมอยู่ค่ะ”
“โกหก! ”
เบเจอร์ตะโกนเถียงในทันที แต่ชานาเนสกลับไม่แม้แต่จะหันไปมองทางด้านนั้น
นางเพียงแค่รอคำตอบจากรูลลักด้วยใบหน้านิ่งสงบเท่านั้น
“เป็นเรื่องจริงหรือ ชานาเนส”
“ค่ะ ท่านพ่อ หากมอบเช็คปลอมกับเช็คจริงให้ข้าอย่างละใบ ข้าสามารถแสดงวิธีให้เห็นได้ตอนนี้เลยค่ะ”
“…ก็อดดริก”
ก็อดดริก เบรย์รีบร้อนหยิบเช็คของจริงกับของปลอมออกมาจากกระเป๋าอย่างละใบ ก่อนที่รูลลักจะทันได้เรียกชื่อเขาจบประโยคด้วยซ้ำ
อันที่จริงวันนี้เขาก็ตั้งใจนำมันติดมือมาด้วย เพื่อที่จะได้รายงานเรื่องเช็คปลอมให้รูลลักทราบอยู่แล้ว
“นี่ครับ ท่านชานาเนส”
“ขอบคุณค่ะ คุณชายเบรย์”
ชานาเนสถือเช็คทั้งสองใบไว้ในมือ นางหันไปมองรอบๆ แล้วพูดขึ้น
“และก็ต้องใช้ไม้ขีด…”
“ขะ ข้ามีครับ! ”
ปกติแล้วเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเป็นสิงห์อมควัน เขารีบหยิบไม้ขีดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ รีบเดินเข้าไปหาชานาเนสทันที
เขามองชานาเนสอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้น
“ให้ข้าจุดไฟให้ดีมั้ยครับ ท่านชานาเนส”
“ถ้าได้แบบนั้นก็ขอบคุณมากเลยค่ะ”
ในระหว่างที่เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งหยิบไม้ขีดออกมาสองก้านชานาเนสก็พูดกับรูลลัก
“ดูสีเปลวไฟยามเผาเช็คแต่ละใบนะคะ ท่านพ่อ”
รูลลักพยักหน้าด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
หลังจากเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งจุดไม้ขีดทั้งสองก้านเสร็จ เขาก็นำมันไปจ่อเข้ากับปลายเช็คทั้งสองใบอย่างระมัดระวัง
พึ่บ
เสียงเปลวเพลิงติดไฟลุกโชนดังขึ้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับเช็คที่เริ่มเผาไหม้อย่างช้าๆ