เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 119.1
“โอ้! ”
“สีต่างกันนี่เอง! ”
เหล่าเจ้าตระกูลต่างตกอยู่ในความอลหม่าน มองแค่ปราดเดียวก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสีของเปลวไฟมันแตกต่างกันเป็นสีแดงส้มและสีน้ำเงิน
“วิธีการเช่นนี้…”
รูลลักเองก็ลูบเคราพลางพยักหน้าลง
“ฝั่งที่ให้ไฟสีแดงส้มคือเช็คของจริงของลอมบาร์เดียค่ะ ส่วนฝั่งที่ให้เปลวไฟสีน้ำเงินเป็นของปลอมค่ะ”
ชานาเนสดับไฟก่อนที่เช็คจะไหม้เป็นจุณทั้งใบพลางตอบ
“ก็อย่างที่เห็น เพียงแค่จุดไฟเผามุมหนึ่งก็เพียงพอที่จะรู้ได้แล้วค่ะ มันเป็นวิธีที่ง่ายมากค่ะ ดับไฟก่อนมันจะไหม้ส่วนสำคัญอย่างยอดเงินที่เขียนเอาไว้ก็พอแล้วค่ะ”
“หากเป็นวิธีนี้ละก็ ทางเราสามารถตรวจสอบได้ทันทีที่หน้าเคาน์เตอร์เลยนะครับ! จุดไฟอย่างนั้นหรือ! เป็นวิธีการที่ไม่คาดฝันเลยนะครับ ท่านชานาเนส!”
ก็อดดริก เบรย์พูดด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ค้นพบวิธีแบบนี้ได้ยังไงครับเนี่ย”
“…โชคดีค้นพบระหว่างที่ครุ่นคิดหาวิธีแยกแยะอยู่ตามลำพังน่ะค่ะ”
“น่าทึ่งมากจริงๆ ครับ! ”
ชานาเนสชะงักเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยสักคน
“ว่าแล้วเชียว สมแล้วที่เป็นท่านชานาเนส!”
“วิธีแปลกใหม่เช่นนี้ จะมีใครคิดออกได้อีกกันล่ะ! ”
สายตาของเหล่าเจ้าตระกูลที่มองสำรวจเช็คของจริงกับของปลอม ต่างก็หันไปมองรูลลักกันอย่างพร้อมเพรียงโดยอัตโนมัติ
ทุกคนกำลังรอเพียงแค่คำตัดสินใจของรูลลัก
รูลลักมองเบเจอร์สลับกับชานาเนสเป็นครั้งสุดท้าย
ชานาเนสไม่แม้แต่จะแย้มรอยยิ้มใดๆ ทั้งๆ ที่ก็มั่นใจในคำตอบดีอยู่แล้ว ส่วนเบเจอร์มีใบหน้าบิดเบี้ยวเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ทั้งสองคนต่างก็กำลังมองเขาอยู่
บางครั้งเจ้าตระกูลก็ต้องตัดสินใจอย่างลำบากใจเพื่อตระกูล
ตอนนี้ก็คือเวลาเช่นนั้น
รูลลักพูดเสียงทุ้มต่ำ
“จนกว่าข้าจะกลับไปทำงาน ให้ชานาเนสดำรงตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูลแทนข้าก็แล้วกัน”
ตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียถูกเปลี่ยนมือจากเบเจอร์ไปเป็นชานาเนสในชั่วพริบตา
เบเจอร์ประท้วงเสียงแหบพร่า
“ท่านพ่อ!”
แต่รูลลักไม่คิดที่จะทบทวนการตัดสินใจของตนใหม่อีกครั้งเลยแม้แต่น้อย
รูลลักเพียงแค่มองเบเจอร์ที่กำลังร้องเรียกตนด้วยใบหน้านิ่งเงียบ เขาปิดปากแน่นจนแม้แต่เข็มเล่มหนึ่งก็ไม่อาจแทรกเข้าไปได้
“ทราบหรือเปล่าครับว่านี่มันหมายความว่ายังไง ท่านพ่อเพิ่งจะประกาศยอมรับท่านพี่ซึ่งเป็นผู้หญิง ในฐานะผู้มีสิทธิสืบทอดตระกูลนะครับ! ”
“ข้าดูเหมือนไม่รู้เรื่องนั้นหรือยังไง”
“จะทำแบบนี้จริงๆ หรือครับ! ”
เบเจอร์ไม่อาจเอาชนะโทสะของตัวเองได้ เขาตะโกนเสียงดังจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนลำคอ
“จะทำแบบนี้แค่เพราะไอ้เช็คปลอมนั่นไม่ได้นะครับ! จะปฏิบัติกับข้าซึ่งเป็นบุตรชายคนโตเช่นนี้ไม่ได้!”
เสียงกรีดร้องนั่นสั่นเครือด้วยความโกรธเคือง ราวกับคนที่ถูกช่วงชิงสิ่งที่ควรจะเป็นของตนไป
“คิดว่าที่เจ้าถูกปลดจากตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูล มันเป็นเพราะเรื่องนั้นเรื่องเดียวหรือไง”
“ถ้าไม่ใช่แล้วจะมีอะไรได้อีกล่ะครับ!”
“…ดูเหมือนข้าจะตัดสินใจถูกต้องแล้วสินะ”
รูลลักพูดด้วยความเย็นชา
“เจ้าออกไปได้แล้ว”
ไม่มีสิ่งใดที่เบเจอร์สามารถทำได้อีก
เบเจอร์กำหมัดทั้งสองข้างแน่นจนมือสั่นเทาไปหมด หลังจากจ้องชานาเนสราวกับจะฆ่าให้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ถึงได้ออกไปจากห้องนอนทั้งๆ ที่ยังโมโหจนหอบแฮก
โครม-!
เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกปิดลง แต่ไม่มีใครคิดสนใจ
รูลลักเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ ส่ายศีรษะไปมาพลางถอนหายใจ ส่วนเหล่าเจ้าตระกูลต่างๆ กลับถอนหายใจด้วยความโล่งอกมากกว่า
สีหน้าของพวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ในที่สุดก็จะหายใจหายคอได้บ้างเสียที
และชานาเนสก็หันไปมองฟีเรนเทียที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงมุมประตูอย่างไร้ซุ่มไร้เสียง
ประตูที่ถูกปิดลงอย่างแรงจนเกิดเสียงดังโครม มันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างน่ากลัวแท้ๆ
แต่ฟีเรนเทียกลับดูเหมือนไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลยสักนิด
ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก
ไม่สิ เด็กคนนั้นกำลังยิ้มอยู่ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ชานาเนสสามารถรู้ได้ในทันที
ความสำเร็จและชัยชนะที่ไม่ได้เข้ากับใบหน้าสงบเสงี่ยมนั่นเลยแม้แต่น้อย ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กคนนี้
ชานาเนสยกยิ้มจางๆ มองนัยน์ตาของฟีเรนเทียที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตายาวนิ่งไม่กะพริบเลยสักนิด
* * *