เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 119.2
เมื่อวันที่เครย์ลีบันแวะไปพบชานาเนสที่บ้านพัก
เครย์ลีบันผู้มักจะเย็นชาอยู่เสมอ ได้พบกับชานาเนสผู้สง่างามไม่เคยยอมอ่อนข้อให้ใคร
ทั้งสองคนมีนิสัยที่คล้ายกันมาก แต่ก็แตกต่างกันมากเช่นกัน
“มาพบเพราะอยากจะมอบสิ่งนี้ให้ครับ ท่านชานาเนส”
เครย์ลีบันวางซองใบเล็กลงบนโต๊ะในขณะที่พูดขึ้น
ชานาเนสเปิดดูของข้างในซองนั่นด้วยความสงสัย หลังจากได้เห็นนางก็ถึงกับต้องเบิกตากว้าง
“8,000 เหรียญทอง…?”
มันเป็นยอดเงินที่มากเกินกว่าจะเขียนลงบนตั๋วเงินไม่ลงชื่อแผ่นเดียว
ชานาเนสเงยหน้าขึ้นมองเครย์ลีบัน
ถึงแม้แววตาคู่นั้นจะไม่มีรอยยิ้มให้เห็น แต่เครย์ลีบันก็ไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
ปฏิกิริยาช่างแตกต่างกับก็อดดริก เบรย์เมื่อวันก่อนมากจริงๆ เพียงแค่ชานาเนสถามว่า ‘สินบนอย่างนั้นหรือ’ ชายคนนั้นก็ได้แต่เหงื่อแตกพลั่ก รีบร้อนแก้ตัวแทบไม่ทัน
“เงินนี่เป็นของท่านชานาเนสครับ ไม่สิ หากพูดให้ชัดเจนคงต้องบอกว่ามันเป็นเงินของลอมบาร์เดียสินะครับ”
ถึงแม้จะดูสุภาพ แต่เครย์ลีบันพูดด้วยน้ำเสียงดั่งคนติดต่อด้านธุรกิจกันเท่านั้น
“มันเป็นเงินที่ข้าได้รับมาจากเวสติน ชูลส์ก่อนหน้านี้ ตอนที่เขามาขอให้ช่วยเปลี่ยนสิทธิสัมปทานขุดเจาะเหมืองเพชรไปให้ทางชูลส์แทนน่ะครับ”
“…ตอบรับข้อเรียกร้องนั้นไปแล้วเหรอคะ”
ชานาเนสขมวดคิ้วเล็กน้อยในขณะที่กล่าวเช่นนั้น แต่เครย์ลีบันเพียงแค่ยักไหล่ไม่แยแสเท่านั้น
“ข้าเองก็เป็นนักธุรกิจ เป็นพ่อค้าครับ ย่อมต้องไล่ตามผลประโยชน์มากกว่าความผูกพันอยู่แล้ว”
“เรื่องได้ผลประโยชน์…”
ชานาเนสกวาดสายตามองสำรวจเครย์ลีบันด้วยนัยน์ตาค่อนข้างซีเรียส
คนคนนี้เป็นคนที่นางเคยคิดว่าจะอยู่กับลอมบาร์เดียไปตลอด เพราะเป็นคนที่มีความจงรักภักดีต่อเจ้าตระกูลอย่างรูลลักเป็นอย่างยิ่ง
แต่แล้วจู่ๆ กลับแยกตัวออกไปจากลอมบาร์เดีย คนที่โบยบินออกไปเหมือนติดปีก
ราวกับในที่สุดก็ได้ค้นพบอะไรบางอย่างที่มีค่ามากกว่าลอมบาร์เดียเสียแล้ว
คนเช่นนี้หากจะมองหาผลประโยชน์มากกว่าความผูกพัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
แต่ว่า
“ข้ายิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ค่ะ หากเป็นคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์จริงๆ ก็แค่เก็บตั๋วเงินนี่ไปโดยไม่ให้ใครรู้ ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือคะ”
คำถามของชานาเนสทำให้เครย์ลีบันหยุดคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าลง
“อันที่จริงหากทำเช่นนั้น ถึงจะตรงกับนิสัยของข้าก็จริง แต่…”
ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กัน
บนใบหน้าของเครย์ลีบันถึงได้ปรากฏรอยยิ้มจางขึ้นมา
“อย่างไรกิจการขุดเจาะก็เป็นกิจการหลักที่เวสติน ชูลส์ใช้ในการยักยอกเงิน ดังนั้นเงินจำนวนนี้ข้าคิดว่าสมควรคืนกลับไปให้ทางนั้นถึงจะถูกต้อง ก็เลยนำมาคืนให้น่ะครับ”
ชานาเนสเหม่อมองตั๋วเงินที่ถูกยื่นส่งมาให้นางอีกครั้ง
ถึงแม้ไม่อาจได้รับคำตอบที่ทำให้รู้สึกสบายใจ แต่คำพูดของเครย์ลีบันก็ถูกต้องแล้ว
“ขอบคุณในความซื่อสัตย์ของคุณชายเพลเลสนะคะ เงินนี่ทางกิจการขุดเจาะจะนำไปใช้อย่างดีค่ะ”
“ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างครับ”
เครย์ลีบันถามเมื่อจบบทสนทนา
“ดูเหมือนลอมบาร์เดียจะวุ่นวายกันใหญ่ เพราะรักษาการเจ้าตระกูลคนใหม่สินะครับ”
“…ยังคงทราบเรื่องที่เกิดขึ้นภายในลอมบาร์เดียไวเหมือนเคยนะคะ”
“ข้าเคยทำงานในลอมบาร์เดียมานานไม่ใช่หรือครับ”
ชานาเนสพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเครย์ลีบัน แต่ก็ยังเว้นระยะห่างขีดเส้นกั้น
“แต่การที่คนนอกสนใจในเรื่องของตระกูลลอมบาร์เดียมากเกินไป…”
“แล้วถ้าเป็นเรื่องเช็คปลอมล่ะครับ”
“เรื่องนั้นทราบได้ยังไงกัน…”
“ถ้าหากข้าบอกวิธีแยกเช็คปลอมให้ จะนำมันไปใช้ยังไงหรือครับ”
คราวนี้ใบหน้าของชานาเนสเปี่ยมไปด้วยความระแวง
ถึงแม้อีกฝ่ายบอกจะมอบกุญแจที่สามารถนำไปใช้ไขปัญหาได้ในทันทีก็ตาม แต่ชานาเนสกำลังระแวงว่ากุญแจดอกนั้นจะเป็นสิ่งไม่ชอบธรรมหรือเปล่า
บางทีคงจะไม่ถูกใจจุดนี้เสียเท่าไหร่
เครย์ลีบันนึกถึงฟีเรนเทียที่มักจะหัวเราะชอบใจอย่างมีความสุขทุกครั้งที่พูดถึงชานาเนสขึ้นมา
“คำตอบอยู่ในนี้ครับ”
เครย์ลีบันหยิบซองอีกใบออกมาจากในกระเป๋าเสื้อ เขาวางมันลงข้างตั๋วเงินแล้วพูดขึ้น
“จะนำสิ่งนี้ไปใช้เช่นไร ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านชานาเนสครับ”
เครย์ลีบันพูดเช่นนั้นแล้วลุกขึ้นจากที่นั่งในทันที
“อา และก็วิธีการนั่น รบกวนช่วยบอกว่าท่านชานาเนสเป็นคนคิดค้นได้ด้วยตัวเองนะครับ อย่างไรถ้าบอกไปตามความจริงคงได้เกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่”
ชานาเนสถามชายหนุ่มที่กำลังจะหมุนตัวเดินจากไปหลังจากที่พูดทุกอย่างจบ
“ทราบได้ยังไงกันคะ”
แต่เครย์ลีบันกลับไม่คิดที่จะไขข้อข้องใจให้นาง
เครย์ลีบันครุ่นคิดถึงวิธีที่จะสามารถตอบปัดออกไปได้ แต่แล้วก็พลันนึกถึงคำที่เหมาะสมคำหนึ่งขึ้นมาในหัว เขากระตุกยิ้มมุมปาก
“ความลับทางธุรกิจครับ”
ชานาเนสขมวดคิ้วจนหน้าผากย่นเล็กน้อย เครย์ลีบันมองนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วเดินจากไปเช่นนั้น
“งื้อ…”
เสียงเล็กแผ่วเบาที่ได้ยินดังขึ้นมาจากด้านข้าง ทำให้ชานาเนสตื่นจากภวังค์ นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียง
“ไม่มีอย่างอื่นนอกจากนมเหรอคะ”
เทียวางแก้วที่มีนมอยู่เต็มแก้วลงด้วยใบหน้ามุ่ยไม่ชอบใจ ในขณะที่บ่นหงุงหงิงไม่หยุด
สองแฝดมองภาพนั้น ก่อนจะวางท่าพูดเสริมกันคนละประโยค
“ไม่ได้ เทียต้องดื่มนมเยอะๆ”
“ใช่แล้ว ยังต้องโตอีกนะ ตัวเล็กเกินไปแล้ว”
“ทำไมพูดงี้เนี่ย ทั้งสองคนตัวโตเกินไปต่างหากล่ะ ระดับนี้มันคือมาตรฐานนะ”
ผ่านมาได้สองสัปดาห์แล้ว หลังจากที่ชานาเนสรับตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูล
ลอมบาร์เดียขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคงปลอดภัย แตกต่างจากตอนที่เบเจอร์นั่งตำแหน่งนั้นอย่างเทียบชั้นกันไม่ติด
ขนาดที่รูลลักยังถึงกับบอกว่า ‘งั้นคงต้องถือโอกาสนี้พักผ่อนต่ออีกเสียหน่อย!’ และยืดเวลาการพักรักษาตัวออกไปอีกหนึ่งเดือน
เบเจอร์ซึ่งถูกขับไล่ลงจากตำแหน่งรักษาการเจ้าตระกูล ได้เดินทางจากไปยังอังเกนัสบ้านของภริยาอย่างเซรัล
ถึงแม้จะอ้างว่าเป็นเพียงแค่การเดินทางไปเที่ยวพักผ่อนแช่น้ำพุร้อนที่เป็นเอกลักษณ์ของตะวันตก แต่ทุกคนต่างก็ทราบดีว่า ที่จริงแล้วก็แค่ไม่อาจเฝ้ามองความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมของชานาเนสในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลได้ต่างหาก
และวันนี้ก็เป็นวันหยุดวันแรกหลังจากที่ชานาเนสได้ครองตำแหน่ง
สองแฝดเองก็หยุดซ้อมเช่นกัน ทั้งพวกเขายังอยู่แต่ในคฤหาสน์ ไม่ออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหน
ชานาเนสวางถ้วยชาลงในขณะที่พูดกับคู่แฝด
“ทั้งสองคนได้เรียนฟันดาบกระบวนท่าใหม่ไม่ใช่หรือ วันนี้ลองแสดงฝีมือให้เทียเห็นหน่อยเป็นไงล่ะ”
“เอางั้นเหรอครับ”
“เทีย ดูพวกเราให้ดีนะ! ”
คิลลีวูกับเมโลนวิ่งออกไปยังลานกว้างที่เชื่อมต่อกับห้องรับรองด้วยความตื่นเต้น
เสียงเอะอะโวยวายของทั้งคู่ดังลอดผ่านเข้ามาทางประตูที่ถูกเปิดกว้างทิ้งไว้
“ข้าชอบน้ำผลไม้มากกว่านี่นา”
เทียยังคงบ่นหงุงหงิงเสียงแผ่วไม่หยุด ชานาเนสมองเทียที่ยังคงถือแก้วนมเอาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วเอ่ยเรียกชื่อเด็กน้อย
“เทีย”
“คะ”
เพิ่งอายุได้แค่ 12 ปี อยู่ในช่วงวัยที่ยังต้องโตอีกมากนักเหมือนอย่างที่สองแฝดบอก
ดังนั้นชานาเนสจึงเปิดปากขึ้นอย่างช้าๆ แล้วพูดออกมา
“รีบโตให้ไวแล้วขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียเสียเถอะนะ เทีย”