เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 120.2
“ผลิตเช็คปลอมที่เหมือนกันอย่างไร้ที่ติเช่นนั้นออกมาได้ ย่อมต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถด้านการปลอมแปลงอย่างแน่นอนไม่ใช่หรือคะ ความสามารถเช่นนั้นจะปล่อยให้ถูกขังไว้ในคุกใต้ดินอย่างเปล่าประโยชน์หลายปี ก็น่าเสียดายเกินไปหน่อย”
การรับโทษตามกฎหมายเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ถ้าหากทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ให้แก่ลอมบาร์เดียได้แล้วละก็ การดึงตัวมาใช้งานให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุดก็เป็นวิธีการที่ดีเช่นกัน
“และหากทำเช่นนั้น ระบบความปลอดภัยของธนาคารลอมบาร์เดียก็จะพัฒนาขึ้นอีกระดับ คราวนี้ข้าคิดว่าท่านป้าก็จะได้รับการประเมินในฐานะรักษาการเจ้าตระกูลสูงขึ้นไปอีกค่ะ”
เพราะเมื่อเคยมีเช็คปลอมถูกแจกจ่ายไปทั่วแล้วครั้งหนึ่ง การการันตีว่าจะไม่มีครั้งที่สองเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจทำได้ทั้งนั้น
“แน่นอนว่านี่ถือเป็นการว่าจ้างแทนการลงโทษ จะลดค่าจ้างลงเสียหน่อย เรื่องเสียประโยชน์แค่นี้ทางฝ่ายนั้นก็สมควรต้องยอมรับค่ะ”
อุตส่าห์ยอมละเว้นโทษให้ไม่ต้องถูกขังลืมในคุกใต้ดิน เรื่องแค่นี้ย่อมไม่ควรแสดงความไม่พอใจออกมา
“…ได้ ข้าจะใช้ของขวัญที่เจ้ามอบให้เป็นอย่างดี แต่ว่า เทีย”
“คะ”
“เจ้ารู้ตัวตนของคนร้ายได้ยังไงกัน”
ชานาเนสถามด้วยใบหน้าอยากรู้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ
แน่นอนว่าเธอมีคำตอบที่ถูกระบุเอาไว้อยู่แล้วสำหรับเวลาแบบนี้
“ความลับทางธุรกิจค่ะ”
“…หึ”
แต่ชานาเนสกลับยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ
“หัวเราะทำไมเหรอคะ”
เธอพูดอะไรน่าตลกหรือไง
“ไม่มีอะไรหรอก”
ชานาเนสตอบเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจหยุดหัวเราะได้เลย
ในตอนนั้นเอง
“เทีย! เทียยย!”
ใครบางคนก็ตะโกนเสียงดังเรียกเธอด้วยความกระวนกระวาย วิ่งตัดข้ามลานกว้างตรงเข้ามาหาเธอ
รีบร้อนมากเสียจนแม้แต่สองแฝดที่กำลังเล่นประลองดาบกันอยู่ยังตกใจจนถึงกับต้องหยุดชะงักเลยทีเดียว
“พ่อ?”
“เทีย! ”
เธอสะดุ้งรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
“พ่อ ทำไม…”
สภาพดูไม่ได้แบบนั้นล่ะคะ
ท่านพ่อซึ่งปกติแล้วจะเป็นคนสะอาดทั้งยังดูเนี้ยบอยู่เสมอ สภาพในตอนนี้มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าคงไม่ได้อาบน้ำอาบท่ามาหลายวัน
ใบหน้าสกปรกไปหมด เสื้อผ้ายับย่น ไหนจะหนวดเคราที่ยาวเฟิ้มจนรกรุงรังนั่นอีก
แต่ท่านพ่อกลับไม่คิดสนใจเรื่องพวกนั้น ท่านวิ่งเข้ามาสวมกอดเธอไว้แน่น
แน่นอนว่ายังคงเอาใจใส่กันเหมือนเคยด้วยการหลบเลี่ยงบริเวณไหล่ข้างที่เธอได้รับบาดเจ็บ
“พ่อขอโทษนะที่มาช้า… มาช้าไปเพราะต้องทำงานให้เสร็จก่อนถึงจะเดินทางกลับมาได้ ขอโทษนะ เทีย”
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอตบแผ่นหลังกว้างของท่านพ่อเบาๆ เป็นการปลอบโยน
“ลูกสาวพ่อเป็นอะไรมั้ย เจ็บมากหรือเปล่า”
ท่านพ่อกวาดสายตามองสำรวจใบหน้ากับร่างกายของเธออย่างช้าๆ ด้วยนัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
“อ๊ะ! ถ้าพูดถึงไหล่ละก็ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ! สัปดาห์ก่อนตัดไหมแล้วด้วยค่ะ! ”
“ตะ ตัดไหม…”
ท่านพ่อเสียการทรงตัวไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็พูดอย่างหนักแน่น
“อืม ตอนนี้พ่อมาแล้ว ไม่เป็นอะไรแล้วนะ พ่อจะหาของบำรุงที่ดีต่อร่างกายลูกให้เยอะๆ เลย! ”
“ค่ะ พ่อ!”
ท่าทางคงจะเป็นห่วงเธอมากทีเดียว
ทันทีที่เสร็จงานทางใต้ ก็ไม่หลับไม่นอน นั่งรถม้าโดยสารกลับมายังคฤหาสน์โดยไม่หยุดพักแม้แต่วันเดียวสินะ
ท่านพ่อของเธอเป็นพวกห้ามไม่ฟังเสียด้วย
เธอมองสบตาท่านพ่อ หัวเราะเสียงดังแหะๆ
“เฮ้อ ตลอดระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกัน เทียของพ่อแก้มตอบลงไปเยอะเลย…”
นั่นไม่น่าจะใช่เธอ แต่พูดถึงตัวท่านพ่อเองมากกว่ามั้ยล่ะ
ในตอนนั้นเอง ชานาเนสที่เฝ้ามองการกลับมาพบหน้ากันอีกครั้งของพวกเราสองพ่อลูก ก็เอ่ยเรียกท่านพ่อ
“แคลอฮัน”
“ครับ ท่านพี่”
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ถ้าไม่อยากให้เทียป่วยเป็นไข้ไปจริงๆ”
ชานาเนสกล่าวในขณะที่ดึงตัวเธอออกจากท่านพ่ออย่างอ่อนโยน
“ครับ อ๊ะ ทราบแล้วครับ!”
ท่านพ่อรีบก้าวเท้าถอยห่างจากเธออย่างรวดเร็ว ในทันทีที่ได้ยินคำพูดของชานาเนส
“ไปอาบน้ำแล้วค่อยมาทานข้าวพร้อมกัน ไปทักทายท่านพ่อก่อนหรือยัง…อืม คงจะวิ่งตรงมาที่นี่ทันที ไม่ได้แวะไปทักทายท่านเลยสินะ”
“ฮ่าฮ่า มันเร่งด่วน…”
“ถ้างั้นคงต้องแจ้งให้ท่านพ่อมาร่วมทานอาหารด้วยกันแล้วละ”
“ครับ ท่านพี่! เทีย เดี๋ยวพ่อรีบไปอาบน้ำก่อน แล้วจะรีบมาหานะ!”
ท่านพ่อได้อาบน้ำในรอบหลายวันเสียที ตอนนี้กลับมามีภาพลักษณ์ปกติเหมือนอย่างที่เธอคุ้นเคยแล้ว หลังจากนั้นพวกเราก็มากินอาหารร่วมกัน
ชานาเนสเรียกกระทั่งครอบครัวของลอเรนซ์ที่ยังอยู่ในคฤหาสน์ให้มาร่วมกินพร้อมกันด้วย
น่าเสียดายที่ลาลาเน่ไม่อาจมาร่วมโต๊ะได้ แต่ในเมื่อเบเจอร์ไม่อยู่ ผู้คนในลอมบาร์เดียจึงได้มานั่งล้อมวงกันโดยไม่ต้องขมวดคิ้วทำหน้าบึ้งตึง
วันอันแสนวุ่นวายผ่านไปเช่นนั้น
เธอเดินกลับมายังห้องของตัวเอง ก่อนจะมองเห็นซองจดหมายวางทิ้งไว้อยู่บนโต๊ะหนังสือซองหนึ่ง
[ถึง เทีย]
จดหมายจากเฟเรสนี่นา
“ดูเหมือนจะเดินทางไปถึงอะคาเดมีได้อย่างปลอดภัยสินะ”
ทันทีที่ไปถึงก็ส่งจดหมายมาทันทีเลยเหรอเนี่ย
ระยะห่างระหว่างอะคาเดมีกับลอมบาร์เดียถือว่าไกลมาก มันจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่พวกเราจะได้แต่ติดต่อกันทางจดหมายเหมือนแต่ก่อนอีกครั้ง
[ถึง เทีย
คืนนี้เป็นคืนแรกหลังจากเดินทางมาถึงอะคาเดมี
ทุกคนได้ห้องส่วนตัวกันคนละห้อง คนอื่นๆ ต่างบ่นกันใหญ่ว่าห้องมันเล็กมากเกินไป แต่สำหรับข้าแล้ว มันถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เทียบกับที่เคยต้องอาศัยอยู่ในวังเล็กตามลำพัง ข้าพอใจมากเลย
ทางฝั่งอะคาเดมีเองก็ใส่ใจข้ามาก ทำให้แคทเธอรีนกับคาอิลรัสเองได้มาอยู่ประกบสองห้องข้างๆ ข้าด้วย
(อ่านข้าม)
คงเพราะอยู่ท่ามกลางภูเขากระมัง อากาศที่นี่ถึงได้หนาวมาก
หนาวขนาดเห็นควันออกปากในตอนเช้ากับตอนกลางคืนเลยละ
เทีย โล่งอกไปทีนะ ที่ที่เจ้าอาศัยอยู่อากาศไม่หนาว
(อ่านข้าม)
ตั้งแต่สัปดาห์หน้า ข้าจะเริ่มเรียนวิชาฟันดาบแล้วละ
ถ้ามีเวลาว่างมากพอ ก็อยากจะเรียนวิชาการเมืองด้วยเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไรบ้าง
(อ่านข้าม)
ที่นี่มีผู้คนหลากหลายแบบมาก
และผิดคาดที่เหมือนจะมีผู้คนเป็นมิตรกับข้ามากทีเดียว
บางทีข้าอาจจะได้เพื่อนที่ดีก็ได้ละมั้ง
เวลาล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้วหรือเนี่ย
ตอนนี้ถึงเวลาดับไฟแล้วละ
คงต้องเขียนจดหมายถึงแค่นี้
อย่าได้เจ็บป่วย ทานอาหารตรงเวลาด้วยนะ
ข้าจะรอการตอบกลับ
คิดถึง เฟเรส]
“ส่งจดหมายอะไรยาวขนาดนี้เนี่ย”
หนึ่ง สอง สาม…
ลองนับดู มันเป็นจดหมายที่กินความยาวถึงหกหน้าเต็มๆ
ภายในจดหมายเล่าเรื่องชีวิตประจำวันโดยละเอียดของเด็กหนุ่ม ซึ่งจากเรื่องราวพวกนั้นเธอสามารถแน่ใจได้เรื่องหนึ่ง
“ตื่นเต้นสินะ ตอนนี้”
เฟเรสกำลังปรับตัวเข้ากับอะคาเดมีได้เป็นอย่างดี
“ถ้าไม่เขียนตอบกลับไปทันทีคงได้งอนแน่”
เธอหยิบปากกา เริ่มเขียนจดหมายตอบกลับไป
[ถึง เฟเรส
โล่งอกไปที ดูเหมือนเจ้าจะปรับตัวเข้ากับอะคาเดมีได้ดีทีเดียว
ทุกวันของข้าก็ยังเหมือนเคย
ได้คบเพื่อนใหม่ๆ มากเลยใช่มั้ย
คอยเล่าเรื่องเพื่อนใหม่ของเจ้าให้ข้าฟังบ้างนะ
อยากรู้จังว่าเจ้าจะคบหากับผู้คนแบบไหน
และก็…]
เฟเรสกับเธอส่งจดหมายติดต่อหากันเป็นประจำ
เธอถึงกับต้องหากล่องใบใหญ่ใบหนึ่งเอาไว้เก็บรักษาจดหมายพวกนั้นเลยทีเดียว
แต่พอเอามาเก็บกระทั่งของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เฟเรสขยันหมั่นเพียรส่งมาให้ภายหลัง แค่ครู่เดียวกล่องก็เต็มแน่นไปทั้งใบแล้ว
จดหมายเริ่มกองพะเนินสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ค่อยๆ ดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนั้น