เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 122.1
ดูเหมือนเขาจะดีใจมากที่ได้พบหน้าเธอหลังจากไม่ได้พบกันเสียนาน รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากของเฟเรส และค้างอยู่บนนั้นไม่จางหายไปไหน
ร่างกายสูงใหญ่จนเธอต้องแหงนหน้าสุดคอ ใบหน้าคมเห็นสันกรามชัดเจน และเสียงทุ้มต่ำราวกับเป็นคนอื่นที่เธอไม่รู้จัก
มีอะไรหลายอย่างแตกต่างไปจากเดิม แต่เขาคือเฟเรสอย่างแน่นอน
“ใครคะ”
เฟเรสดูตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดเย็นชาของเธอ
จะยังไงก็ช่าง
“ขอโทษนะคะ แต่คงทักคนผิดแล้วละค่ะ
แต่เธอก็ยังพูดเช่นนั้นในขณะที่หมุนตัวเดินหนี
“เทีย”
เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าตื่นตระหนกคว้าไหล่ของเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“ข้าเอง เฟเรส”
“เฟเรส? จะว่าไปก็รู้สึกเหมือนเคยรู้จักคนแบบนั้นเหมือนกันนะ”
นัยน์ตาสีแดงยามมองใบหน้าเธอกำลังสั่นไหว
คงคิดว่าเธอลืมเขาไปแล้วจริงๆ สินะ
เธอจ้องเฟเรสเขม็ง แล้วพูดขึ้น
“อ๊ะ เฟเรสคนนั้นที่ไม่เคยเสนอหน้ามาให้เห็นตลอดหกปีเต็ม เอาแต่ส่งจดหมายมาแทนคนนั้นน่ะเหรอ”
“เรื่องนั้น…”
“หรือว่าจะพูดถึงเฟเรสคนที่จบการศึกษาจากอะคาเดมีในระยะเวลาแค่ห้าปี แล้วเก็บตัวเงียบกว่าครึ่งปี ไม่ยอมส่งข่าวคราวมาคนนั้น”
ตอนนี้คงเข้าใจความหมายของคำพูดของเธอแล้วสินะ
เฟเรสก้มศีรษะลงเล็กน้อยพลางพูดเสียงทุ้ม
“…ขอโทษ”
รู้จักขอโทษเป็นด้วยเหรอ
แต่ไม่รู้ทำไมพอได้ยินคำขอโทษจากเด็กหนุ่มโดยตรง มันกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิดหวัง ทั้งยังรู้สึกโมโหมากกว่าเดิม
เธอใช้กระเป๋าที่ถือไว้ในมือฟาดลงบนไหล่ของเฟเรสเต็มแรง
“คนเลว”
เขาเรียนเก่งติดอันดับท็อปของทั้งภาควิชาพลเรือนและวิชาการทหารเหมือนอย่างในชีวิตก่อนไม่มีผิด อีกทั้งเฟเรสยังจบการศึกษาเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งปี เขาเรียนจบในระยะเวลาเพียงแค่ห้าปีเท่านั้น
แค่เธอฟาดลงบนแขนของเขาแบบนี้ ต่อให้หลับตาเขาก็ขวางเธอไม่ให้ทำได้แท้ๆ
แต่เฟเรสกลับเอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับ ยอมให้เธอตีเขาโดยไม่คิดต่อต้าน
“ต่อให้ที่อะคาเดมีจะยุ่งมากจนกระทั่งช่วงปิดภาคเรียนก็ยังกลับมาไม่ได้ก็เถอะ แต่ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ไม่ติดต่อมาเลยว่ายังอยู่หรือตายเนี่ย จะอธิบายว่ายังไง”
“เรื่องนั้น…พอดีเรียนจบแล้วเดินทางไปหลายที่ในครึ่งปีนี้น่ะ ก็เลยรับส่งจดหมายไม่ได้”
เธอพอจะรู้มาบ้างว่า ทันทีที่เรียนจบ เขาก็ออกเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกันกับเพื่อนๆ
แต่นั่นเป็นข้อมูลที่ได้รับผ่านเบ๊ต หลังจากที่เฟเรสขาดการติดต่อไป
และเธอเองก็ไม่ได้กังวลอะไรมากมาย
ยังไงเฟเรสก็ใช้ออร่าสีครามได้ตั้งแต่ตอนอายุแค่สิบสองปี
เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวแล้ว เขาออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทวีปกับเพื่อนๆ ที่ได้พบที่อะคาเดมีจะไปมีเรื่องอันตรายเกิดขึ้นได้สักกี่เรื่องกันเชียว
แต่ว่า
“ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ส่งจดหมายกลับมาลอมบาร์เดียสักฉบับ บอกว่า ‘ข้ายังอยู่ดี’ ได้ไม่ใช่หรือไง! คนฉลาดจบการศึกษาจากอะคาเดมีด้วยอันดับท็อป เรื่องแค่นี้คิดไม่ได้”
มันก็ยังอดที่จะรู้สึกเสียใจไม่ได้อยู่ดี
แต่ใบหน้าของเฟเรสยามมองเธอที่กำลังโมโหเดือดกลับดูแปลกพิกล
เหมือนจะหัวเราะ แต่ก็เหมือนจะขมวดคิ้วหน้ามุ่ย
เขาเหม่อมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นเพื่อยืนยันความคิดตัวเอง
“…เป็นห่วงข้าเหรอเทีย”
เด็กนี่ จริงๆ เลย
“งั้นจะไม่ให้เป็นห่วงหรือไง มันก็เหมือนกับจู่ๆ เพื่อนตัวเองหายสาบสูญ…!”
หมับ
“…ดีใจจัง”
กลายเป็นว่าเธอถูกกอดอยู่ในอ้อมกอดของเฟเรสเสียแล้ว
คลับคล้ายคลับคลาว่า ตอนที่เธอพาท่านปู่ไปช่วยเด็กหนุ่มถึงวังเล็กเมื่อตอนนั้น ก็เคยเกิดเรื่องคล้ายๆ แบบนี้อยู่เหมือนกัน
เฟเรสในตอนนี้สูงขึ้นมากจนเด็กตัวน้อยคนนั้นในอดีตเทียบไม่ติด
สูงใหญ่จนสามารถกักเธอเอาไว้ในอ้อมกอดของเขาได้จมมิดทั้งร่าง
เธอกะพริบตาปริบๆ ด้วยความตกใจ แล้วเอ่ยเรียกเฟเรส
“เฟเรส”
“อื้อ?”
“ปล่อย”
เฟเรสยอมคลายแขนที่โอบกอดเธอเอาไว้อย่างว่าง่าย
เสียงเนื้อผ้าเสียดสีกันฟึบฟึบ ดังก้องอยู่ในแก้วหู
พอเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเฟเรสกำลังยิ้มอยู่
มันไม่ใช่รอยยิ้มจางเหมือนอย่างที่เขายิ้มมาตลอดจนถึงเมื่อครู่
นัยน์ตาที่ปกคลุมไปด้วยแพขนตายาวสีดำ มันกำลังโค้งหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“อึก”
เยี่ยม
คิดจะล่อลวงกันด้วยรูปร่างหน้าตาสินะ
เธอผลักร่างของเฟเรสออก หรี่ตามองเขาด้วยความขุ่นเคือง
“ข้ายังไม่หายโกรธหรอกนะ”
“อื้อ ข้าผิดไปแล้ว”
เด็กหนุ่มพยักหน้ายอมรับอย่างง่ายดาย
เดิมทีนิสัยเขาก็เป็นพวกขอโทษไวอยู่แล้วนี่นะ
เธอรู้สึกได้ถึงสายตาของเฟเรสที่จู่ๆ ก็ก้มลงมองเธอนิ่งๆ ไม่ขยับ จึงพึมพำเสียงแผ่ว
“ตัวสูงสุดๆ จริงๆ ด้วย”
เหมือนกับตอนที่เธอเคยเห็นเขาจากไกลๆ ก่อนจะย้อนเวลากลับมาไม่มีผิด
ไม่สิ ดูงดงามยิ่งกว่าตอนนั้นเสียอีก น่าจะเป็นเพราะใบหน้าของเขาดูสดใสกว่าตอนนั้นละมั้ง
และแววตาเองก็แตกต่างไปเล็กน้อยเช่นกัน
เขาเคยมีนัยน์ตาแห้งผากไร้ชีวิตชีวา ทั้งยังเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ในยามที่มองฝูงชนที่ออกมารวมตัวกันเพื่อยลโฉมเขา
“เทียก็โตขึ้นเยอะเหมือนกัน”
เฟเรสคนที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
ทั้งยังดูมีความสุขยังไงชอบกล
เหมือนกับ
“สุนัขตัวโต”
สุนัขตัวโตขนสีดำเงางาม แกว่งหางยาวไปมาอย่างช้าๆ
ถึงแม้การเปรียบเปรยจะฟังดูแปลกพิลึกไปหน่อย แต่ร่างกายของเขามันใหญ่โตเกินกว่าจะเรียกว่าลูกสุนัขแล้วนี่นา
“สุนัข?”
“เปล่า ไม่มีอะไร ว่าแต่ทำไมเสื้อผ้าเจ้าเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่ได้มาจากพระราชวังเหรอ”
แคทเธอรีนกับคาอิลรัสไม่มีทางส่งเฟเรสออกมาข้างนอกในสภาพนี้แน่
ผมเผ้ายุ่งเหยิงไปหมด ไหนจะเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่เหมือนเพิ่งกระโดดลงจากหลังม้า…
“หรือว่านี่เจ้ามาหาข้าก่อน ยังไม่ได้กลับเข้าวังงั้นเหรอ!”
“อื้อ”
อื้อ อะไรล่ะ
ใครกันที่หายหน้าหายตา ไม่ยอมติดต่อมาตลอดหลายเดือน แต่นี่พอเดินทางกลับมาก็พุ่งตรงมาหาเธอก่อน โดยที่ยังไม่ได้เดินทางกลับเข้าวังเนี่ยนะ
เธอจัดการเสื้อผ้าตัวเองที่ยับไปเล็กน้อยจากการถูกเฟเรสกอดให้เข้าที่เข้าทางพลางพูดขึ้น
“รีบกลับไปที่วังเลยนะ”
“…เข้าใจแล้ว”
รู้สึกได้ว่าสีหน้าของเฟเรสหม่นหมองลงในทันทีที่ได้ยินคำพูดของเธอ
แต่เธอยิ่งพูดอย่างหนักแน่นมากกว่าเดิม
“ข้าหมายถึงให้เจ้ารีบกลับไปแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าชายลำดับที่สองเฟเรส ผู้จบการศึกษาภายในเวลาแค่ห้าปี ทั้งทางด้านพลเรือนและการทหารในเวลาเดียวกันด้วยอันดับท็อปคนนั้น ได้กลับมาแล้ว”
“อา…”
เฟเรสยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเข้าใจความหมายที่เธอต้องการจะสื่อ ก่อนจะตอบ
“อื้อ ข้าจะทำเช่นนั้น”
หลังจากโบกมือลาเฟเรสเสร็จ เธอก็เริ่มเดินกลับไปคฤหาสน์
และเมื่อนึกถึงคำพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็หมุนตัวหันหลังกลับไป
เด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ที่เดิมแบบนั้น เฝ้ามองภาพด้านหลังของเธออยู่ตรงนั้น
“พรุ่งนี้อย่ามาสายล่ะ”
ไม่มีทางที่เฟเรสซึ่งอยู่ระหว่างการท่องเที่ยวจะเลือกกลับมาวันนี้อย่างไร้เหตุผล
เธอรู้สึกได้ว่าเขาตั้งใจกลับมาก็เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดอายุครบสิบแปดปีของเธอ
นั่นไง เหมือนอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ ด้วย เฟเรสยิ้มจนตาหยีอีกครั้ง
“อื้อ พบกันที่งานเลี้ยงพรุ่งนี้นะ เทีย”
เธอโบกมือให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับ รู้สึกปวดแปลบที่ข้อมือขึ้นมาเล็กน้อย
มันเป็นบริเวณที่กระแทกกับแขนของเฟเรส ตอนที่เธอใช้กระเป๋าฟาดเขาเมื่อครู่
“ไม่ได้ตีก้อนหินสักหน่อย”
ถึงเธอจะไม่เคยตีก้อนหินจริงๆ ก็เถอะ แต่เธอคิดว่าถ้าทำแบบนั้นต้องให้ความรู้สึกเดียวกันนี้แน่ๆ
เธอเริ่มขยับตัวก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็นวดข้อมือที่รู้สึกเจ็บขึ้นมาหน่อยๆ ไปด้วย
* * *