เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 122.2
ผู้พ่ายแพ้จากตะวันออก ริกนีเต้ บุตรชายคนที่สองของเจ้าตระกูลรูมันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
“นี่ข้าเห็นภาพหลอนกลางวันแสกๆ เหรอ”
พึมพำเช่นนั้นในขณะเดียวกันก็ขยี้ตาไม่หยุด แต่ทัศนียภาพที่เห็นจากไกลๆ กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปเสียที
“เฟเรส…หัวเราะ?”
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงเจ้าชายประจำอาณาจักรแลมบลู แต่พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันแรกที่เข้าศึกษาที่อะคาเดมีในสถานที่ทั่วไปที่ไม่ใช่เรื่องทางการ พวกเขาจึงสามารถเรียกชื่อกันได้อย่างสบายใจ
มีผู้คนมากมายยอมติดตามเฟเรสก็จริง แต่คนที่สามารถเรียกชื่อเขาโดยตรงแบบนี้ได้ มีแค่ริกนีเต้คนเดียวเท่านั้น
แต่แม้กระทั่งตัวริกนีเต้เองก็ยังไม่เคยเห็นเฟเรสหัวเราะเลยแม้แต่ครั้งเดียว
จนกระทั่งวันนี้
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว แต่พวกเขาเพิ่งจะฝ่าลมหนาวเสียดแทงผิวอย่างรุนแรงจากทางเหนือ ควบม้าวิ่งตรงมาถึงลอมบาร์เดียเมื่อเช้าวันนี้เองนะ
เจ้านั่นบอกว่าไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตาม พวกเขาจะต้องถึงภาคกลางของอาณาจักรภายในวันนี้ให้ได้ เขาก็นึกว่าที่พระราชวังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเสียอีก
แต่เฟเรสกลับควบม้ามายังสถานที่แปลกพิลึก
ต่อให้เขาถามว่าจะไปไหนกันแน่ เฟเรสก็เอาตอบแต่ว่า ‘ถ้าลำบากนัก จะไปคนเดียว’ เขาจึงได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาควบม้าตามมา ด้วยไม่อาจปล่อยเฟเรสเดินทางตามลำพังได้จริงๆ
และสถานที่ที่พวกเขามาถึงก็คือลอมบาร์เดียนั่นเอง
“หมอนั่นรู้จักหัวเราะเป็นกับเขาด้วยเหรอเนี่ย”
จริงๆ นะ ริกนีเต้คิดว่าเฟเรสมีส่วนไหนพังอย่างรุนแรงไปแล้วจริงๆ
โดยเฉพาะส่วนที่ควบคุมด้านการแสดงอารมณ์ความรู้สึก เขาเคยสงสัยมาตลอดด้วยซ้ำว่ามันยังใช้งานได้ปกติดีหรือเปล่า
แต่เฟเรสกลับหัวเราะเพียงแค่เพราะได้พบหน้าผู้หญิงคนเดียว
ทั้งยังทำตาหวานเชื่อมปานน้ำผึ้งอีกด้วย
“โอ๊ะ?”
ริกนีเต้ลุกขึ้นพรวดจากที่นั่งในทันที
เพราะเฟเรสคว้าตัวผู้หญิงคนนั้นเข้าไปกอดเสียแล้ว
“นี่มัน…ถ้าเอาไปบอกคนอื่น ต้องไม่มีใครเชื่อแน่ๆ”
ไม่โดนถีบเพราะถูกหาว่าโกหกก็บุญแล้ว
ในตอนนั้นเอง ในหัวสมองก็พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา
“หรือว่า…”
ริกนีเต้หรี่ตาลง แข้งขาสั่นด้วยใจร้อนรน
หญิงสาวเป็นฝ่ายเดินจากไปก่อน เฟเรสที่เหลืออยู่คนเดียวเฝ้ามองจนกระทั่งแผ่นหลังของอีกฝ่ายลับหายไปจากสายตา จึงค่อยเดินกลับมายังตำแหน่งที่ริกนีเต้ยืนรออยู่
“คราวนี้ก็ไปเมืองหลวงกันเถอะ”
เฟเรสสาวเท้าพรวดเดินเข้ามาใกล้จนผ้าคลุมพลิ้วไหว กลับมามีใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนปกติต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ
“เฟเรส”
“อะไร”
เฟเรสกำลังตรวจเช็กให้แน่ใจก่อนว่าอานม้าไม่ได้คลายตัวจนหลวม เขาตอบเสียงเรียกของริกนีเต้คร่าวๆ ไม่ได้สนใจอะไรนัก
“ผู้หญิงคนนั้น เจ้าของจดหมายนั่น ใช่มั้ยล่ะ”
กึก
การเคลื่อนไหวของเฟเรสที่กำลังมัดปมเชือกที่คลายตัวออกให้แน่นจนมือขึ้นเป็นเส้นเลือดปูดถึงกับหยุดชะงักในทันที
ว่าแล้วเชียว
ริกนีเต้แสยะยิ้ม
“เจ้าของจดหมายที่เจ้าไม่ยอมให้ใครเห็น แอบไปเขียนอย่างเอาใจใส่อยู่ทุกครานั่น ก็คือผู้หญิงคนนั้นสินะ”
สหายหลายๆ คนต่างก็คาดเดาเรื่องผู้รับจดหมายพวกนั้นกันไปต่างๆ นานา
อาจจะเป็นหัวหน้านางกำนัลที่มักจะนำสิ่งของเครื่องใช้ที่เฟเรสจำเป็นต้องใช้มาให้ปีละครั้งก็ได้
ไม่สิ ดูจากที่แต่ละครั้งเขียนหลายแผ่นจนเป็นปึกหนาเหมือนรายงาน ก็น่าจะเป็นรายงานความสำเร็จในอะคาเดมีที่ต้องถวายแด่องค์จักรพรรดิกระมัง
พวกเขาลือกันไปต่างๆ นานา
แต่สิ่งที่เรียกเสียงหัวเราะได้มากที่สุดคือคำพูดของริกนีเต้
“หรือว่าเฟเรสจะมีคนที่รักจนแทบคลั่งอยู่หรือเปล่า”
ผู้คนที่ได้ฟังการคาดเดาของเขานั้นต่างก็หัวเราะจนท้องแข็ง พูดปาวๆ ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วกันทั้งสิ้น
ไม่มีใครจินตนาการออกได้เลยว่าเฟเรสจะมีคนที่ชอบอยู่แล้ว
แต่ว่า
“ว่าแล้วเชียว ข้าเดาถูกจริงๆ ด้วย!”
ริกนีเต้กำหมัดแน่น ตะโกนเสียงดัง
แล้วพูดหยอกล้อเฟเรส
“เจ้านี่มีอะไรที่ผิดคาดเยอะนะเนี่ย ทั้งเรื่องที่หน้าตาหล่อเหลาเหมือนพวกชอบสเต๊กแท้ๆ แต่กลับชอบกินของหวานเป็นประจำนั่นก็ด้วย”
ความรักในของหวานของเฟเรสเป็นเรื่องที่โด่งดังมากในอะคาเดมีทีเดียว”
ไม่ว่าใครลองถามก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ได้ชอบของหวานมากอะไรขนาดนั้น แต่ทุกวันก็เห็นต้องหาอะไรหวานๆ กินวันละหนึ่งครั้งอยู่ดี
และทุกครั้งที่ขนมหวานเลอะติดริมฝีปาก ใบหน้าของเฟเรสที่มักจะนิ่งขรึมอยู่ตลอดเวลาก็จะคลายตัวลงดูอ่อนโยนขึ้นมาก
“ริกนีเต้”
“ว่า?”
“หนวกหู”
“ชิส์”
เฟเรสกระโดดขึ้นหลังม้าไปก่อน
ริกนีเต้เองก็กระโดดขึ้นหลังม้า บังคับมันควบตามเขาไป
“พวกเราจะไปพระราชวังเหรอ”
“เปล่า ก่อนหน้านั้นข้ายังมีที่อีกที่หนึ่งที่ต้องแวะเสียก่อน”
หลังจากพูดจบประโยคเฟเรสก็เริ่มควบม้าออกวิ่งอีกครั้ง
สถานที่ที่พวกเขาหยุดม้าอีกครั้งคือสุสานแถบชานเมืองในเมืองหลวง
สถานที่แห่งนี้เป็นสุสานที่ใช้ฝังเหล่าชนชั้นสูงเป็นส่วนใหญ่ สภาพจึงดูดีมากไม่ต่างอะไรจากสวนที่ถูกดูแลจัดการเป็นอย่างดี
เฟเรสผูกสายบังเหียนเอาไว้ที่ทางเข้าออก เขาหยิบช่อดอกไม้ช่อเล็กที่ใส่ไว้ในถุงหิ้วที่แขวนไว้กับอานม้าตั้งแต่เมื่อหลายวันก่อนออกมา
ดอกไม้เหี่ยวลงเล็กน้อย แต่เฟเรสก็ยังกุมมันไว้ในมือข้างหนึ่ง เดินตรงไปยังส่วนลึกของสุสาน
แม้แต่ริกนีเต้ที่ชอบพูดมาก เมื่อมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็ยังต้องปิดปากแน่น เดินตามหลังเฟเรสไปเงียบๆ
ในที่สุดเฟเรสก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลุมศพที่สร้างขึ้นจากหินอ่อนแกะสลักอย่างประณีต เขาวางช่อดอกไม้ลงอย่างระมัดระวัง
“ข้ามาแล้วครับ”
เฟเรสกล่าวเช่นนั้น เขาใช้ปลายนิ้วลูบไปบนคำจารึกสั้นๆ ที่ถูกสลักไว้บนแผ่นหินของหลุมศพ
[ข้ารับใช้ผู้เป็นที่รักแห่งราชวงศ์ พอนต้า อิมพีกร้า หลับใหลอย่างสงบอยู่ ณ ที่แห่งนี้]