เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 124.2
“ทำอะไรอยู่น่ะเทีย ยิ้มให้ใครเหรอ”
“มีคนรู้จักอยู่ด้านนั้นเหรอ”
สองแฝดคอยื่นคอยาวมองสำรวจฝั่งที่เธอหันไปมองเมื่อครู่นี้
“เปล่า ก็แค่รู้สึกว่ามีคนมองน่ะ”
จะเรียกว่ารักษาภาพลักษณ์ก็ได้ละมั้ง
ทั้งสองคนพยักหน้าเข้าใจในคำตอบของเธอทันที
“เทียน่ะ ใจดีเกินไปแล้ว”
“ใช่ เทียคนนั้นกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเสียแล้ว ช่วงนี้พวกข้าเป็นห่วงหลายเรื่องเลยละ”
“…ทั้งสองคน ทำไม”
“รู้มั้ยว่าตอนนี้ไอ้พวกนั้น…ไม่สิ คนนั้น คนนี้ ทุกคนต่างก็ชอบเทียกันหมด”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องช่วยขับไล่พวกแมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญพวกนั้นให้เจ้า แต่ช่วงนี้ดันยุ่งมากกว่าเดิม ก็ต้องเป็นห่วงอยู่แล้วสิ”
สองแฝดพูดพลางถอนหายใจเสียงแผ่วพร้อมกัน
ทั้งสองคนอายุครบยี่สิบเอ็ดแล้ว เมื่อสองปีก่อนเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน เข้าบรรจุประจำกองกำลังอัศวินแห่งลอมบาร์เดีย
เพราะเหตุนี้นอกจากฐานะที่พวกเขาเป็นทายาทของลอมบาร์เดียแล้ว พวกเขายังได้กลายเป็นสมาชิกทางการของตระกูลลอมบาร์เดียในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย
เส้นทางเดินที่แตกต่างจากชีวิตก่อน ที่พวกเขากลับไปยังตระกูลชูลส์ทันทีที่บรรลุนิติภาวะ ทั้งยังเปลี่ยนกระทั่งชื่อสกุลอย่างสิ้นเชิง
อีกอย่างสองแฝดที่มักจะตัวติดกันไปไหนมาไหนอยู่เสมอ กลับถูกแยกออกไปอยู่กองกำลังที่ 1 และกองกำลังที่ 3 แยกกันไปคนละหน่วยเสียได้
เห็นว่านั่นเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต้องการเอง
“ถ้ามีหนุ่มที่ไหนมาทำให้เจ้ารำคาญใจ ต้องบอกพวกเรานะเทีย”
คิลลีวูร้องขอเมโลนเองก็กุลีกุจอรีบพยักหน้าอยู่ข้างๆ
ถ้าเกิดมีข่าวลือแพร่ออกไปว่าใครมาชอบเธอเข้า สงสัยสองคนนี้คงได้วิ่งโร่ไปคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาข่มขู่แหง
หากลองคำนึงถึงนิสัยของสองคนนี่ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้มากทีเดียว
เธอหัวเราะกลบเกลื่อน รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“กองกำลังอัศวินเป็นไงบ้างล่ะ ไม่นานมานี้สอบเลื่อนขั้นแล้วนี่”
“ต้องผ่านแน่นอนอยู่แล้วสิ”
“จบชีวิตเด็กฝึกหัดกันเสียที”
“เห็นว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีเลยนะ ที่มีคนได้เลื่อนขั้นไวอย่างพวกเรา”
คิลลีวูกับเมโลนโอ้อวดเต็มที่
แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้ก็สมควรจะอวดอยู่หรอก
กองกำลังอัศวินแห่งลอมบาร์เดีย ไม่ใช่สถานที่หละหลวมขนาดยอมให้สอบผ่านการเลื่อนขั้น หรือให้บรรจุเข้ากองกำลังด้วยเหตุผลว่าเป็นทายาทแห่งลอมบาร์เดียอยู่แล้ว
ดูจากที่ในชีวิตก่อนอาสทัลลีอูเองก็เข้าบรรจุช้าไปมาก ทั้งยังต้องเป็นอัศวินฝึกหัดอยู่หลายปีก็พอจะรู้ได้
“น่าทึ่งมากเลยนะ ทั้งคู่”
สองแฝดยืดไหล่ขึ้นด้วยความภูมิใจ
“ท่านพี่ ท่านพี่ ข้าด้วยครับ!”
เครนีย์ที่ยืนอยู่ข้างคิลลีวูและเมโลนรีบก้าวเท้าออกมาหนึ่งก้าว เอ่ยเรียกเธอไม่หยุด
เครนีย์โตขึ้นอย่างรวดเร็วตามคาด
ตอนนี้เขาอายุได้สิบห้าปี ตัวสูงเลยเธอไปมาก และกำลังไล่ตามความสูงของสองแฝดอย่างแข็งขันทีเดียว
“ข้าเองก็สอบเข้าอะคาเดมีผ่านแล้วนะครับ!”
แตกต่างจากเฟเรสที่ผ่านการศึกษาโดยไม่ต้องสอบเพราะเป็นเจ้าชาย เครนีย์ต้องสอบเข้าอะคาเดมีเสียก่อน
แต่เธอไม่เคยกังวลเรื่องนั้นเลย
เพราะเดิมทีเครนีย์เป็นคนหัวดีอยู่แล้ว และเธอก็ช่วยอบรมสั่งสอนเขาตั้งแต่เด็กอีกด้วย
แต่เครนีย์ที่กะพริบตาปริบๆ ราวกับร้องขอคำชมเชยนั่น จะให้เธอเมินเฉยเขาได้ยังไงกันล่ะ
เธอยกมือขึ้นลูบหัวเครนีย์ที่ตัวสูงกว่าเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ทำได้ดีมาก ลำบากเจ้าแล้วนะ เครนีย์”
“แหะๆ ทั้งหมดเป็นเพราะท่านพี่ต่างหากล่ะครับ”
เด็กน้อยคนนี้นี่นะ พูดจาหวานหูจริงๆ
“ถ้าอยากได้ความช่วยเหลืออะไรในการเตรียมตัวไปอะคาเดมีก็บอกข้าได้ตลอดนะ เครนีย์”
แน่นอนว่าถึงเขาไม่บอก เธอก็คิดที่จะจัดเตรียมให้ตั้งแต่กระเป๋าสัมภาระชั้นยอดไปจนถึงเงินค่าขนมยัดไปให้แน่นๆ อยู่แล้ว
แต่ดูเหมือนเครนีย์จะมีของที่อยากได้อยู่จริงๆ เขาลังเลเล็กน้อย แต่ก็พูดมันออกมา
“คือว่า หนังสือเรียนที่เจ้าชายลำดับที่สองเคยใช้…ไม่สิ แค่ได้จับมือรับพลังดีๆ มาก็ยังดี…”
ใบหน้าขาวเนียนขึ้นสีแดงระเรื่อ เขาเกาแก้มแกรกๆ ด้วยความขวยเขิน
“เฟเรส? ทำไมเป็นเฟเรสล่ะ”
“ก็เจ้าชายสำเร็จการศึกษาจากทั้งภาควิชาพลเรือนและการทหารพร้อมกันเลยไม่ใช่เหรอครับ ตอนยังเด็กข้าไม่ทราบเลยว่าพระองค์น่าทึ่งขนาดนั้น…”
ตรงนี้ก็มีแฟนคลับของเฟเรสอยู่คนหนึ่งสินะเนี่ย
“ได้ เห็นว่าวันนี้เขาจะมาร่วมงานเลี้ยงด้วยนะ หนังสือเรียนข้าไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่เรื่องจับมือข้าจะขอให้เอง ตอนนั้นถ้ามีเรื่องสงสัยอะไรก็ถามเขาเลยละ”
“จริงเหรอครับ ขอบคุณครับ ท่านพี่! ”
เครนีย์ยิ้มหน้าบานกระโดดไปมาด้วยความดีใจ
ในตอนนั้นเองจู่ๆ สองแฝดที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น ทำหน้าบึ้งตึง
“อ่า มาโน่นแล้ว”
เธอเหลือบมองไปยังฝั่งที่ทั้งสองคนหันไปมอง
คนที่ช่วงนี้เธอต้องรับมือด้วยความรำคาญใจสุดๆ กำลังพาสหายสนิทหลายคนเดินตรงมาทางนี้
จักรพรรดินีราวีนี่แม้เวลาจะผ่านไปแล้วหลายปี แต่นางก็ไม่แก่ตัวลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับอาบยาต้านริ้วรอยอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยกลางคน แต่ก็ยังคงรักษาผิวได้ตึงเรียบเนียนไม่มีหย่อนคล้อยเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ขนาดวันเกิดของตัวเองแท้ๆ ยังต้องเจอใบหน้านั่นอีกเหรอเนี่ย
“คงน่ารำคาญน่าดู ทั้งสองคนไปหลบด้านนั้นเถอะ”
เธอพูดกับสองแฝด
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย จักรพรรดินีก็มองชานาเนสที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกันและตระกูลลอมบาร์เดีย เป็นศัตรูประเภทหนึ่งของนาง
เพราะฉะนั้นถ้าหากได้เผชิญหน้ากับชานาเนสในงานเลี้ยงละก็ จะต้องเกิดเรื่องกระทบกระทั่งหรือหาเรื่องกันได้ทุกเรื่อง
ยิ่งหลังจากที่ชานาเนสขับไล่เบเจอร์แล้วขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการเจ้าตระกูลแทน ระดับความเกลียดชังก็ยิ่งมีแต่จะรุนแรงมากกว่าเดิม
สองแฝดที่เติบโตมาโดยเฝ้ามองภาพพวกนั้นอยู่ข้างกายชานาเนส ย่อมเกลียดชังทุกสิ่งที่เกี่ยวกับจักรพรรดินีราวีนี่
“เครนีย์ เจ้าก็ตามพวกพี่ๆ เขาไป”
เมื่อเหลือเธออยู่เพียงลำพัง เธอก็ถอนหายใจออกมาเสียงแผ่ว ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบไปพลาง
และผ่านไปไม่นาน น้ำเสียงที่ถึงจะไพเราะแต่กลับน่าอึดอัดใจก็พูดกับเธอ
“ยินดีด้วยนะคะที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ฟีเรนเทีย”
น้ำเสียงเป็นมิตร เหนียมอาย เก็บซ่อนความคิดในใจเอาไว้ได้อย่างมิดชิด
เธอเองก็ยอมแพ้ไม่ได้หรอก
เธอฉีกรอยยิ้มที่มักจะใช้เป็นประจำหลังจากเปิดตัวเข้าสู่แวดวงสังคมชั้นสูง ขณะที่หันหลังกลับไปกล่าวทักทาย
“ให้เกียรติมาร่วมงานวันเกิดของหม่อมฉันด้วยตัวเองเช่นนี้ หม่อมฉันซาบซึ้งเสียจนไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเลยเพคะ องค์จักรพรรดินี”