เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 125.2
คิดจะใช้สถานการณ์รอบด้านกดดันเธออย่างนั้นเหรอ เรื่องนั้นอาจจะมีโอกาสเป็นไปได้สูงก็จริง แต่ไม่ใช่กับเธอ
เธอรีบกวาดสายตาหันไปมองรอบๆ อย่างรวดเร็ว
แล้วก็มองเห็นคนที่เธอกำลังตามหาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลพอดี
ภายในงานเลี้ยงแห่งนี้ในตอนนี้ ไม่ได้มีแค่ท่านปู่เท่านั้นที่จักรพรรดินีต่อกรด้วยได้ยากหรอกนะ
เธอกระแอมไอเคลียลำคอเสียงดัง ‘ฮึ่ม ๆ ’ หลังจากนั้นก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงที่ดังเล็กน้อย
“ถวายบังคมเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง! ”
เธอส่งยิ้มกว้างไปทางเฟเรสที่มีปฏิกิริยากับเสียงของเธออย่างรวดเร็ว เขาหันหน้ามาทางนี้แล้ว เธอจึงยกมือขึ้นโบกให้เขา
คิดทำให้เธอยุ่งยากใจอย่างนั้นเหรอ
งั้นเธอจะทำให้ต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยุ่งยากกว่าบ้างก็แล้วกัน จักรพรรดินีราวีนี่
ทัศนียภาพตรงหน้ากว้างขึ้นมาก เมื่อเฟเรสเริ่มเดินตรงเข้ามาหาเธอ
เพราะบรรดาชนชั้นสูงที่ยืนมุงกันอยู่ตรงกลางช่วยหลีกทางให้เฟเรสราวกับทะเลแหวกเป็นสองฝั่ง
ไม่ได้มีใครสั่งให้พวกนางถอยหรือหลีกทางให้ทั้งนั้น
พวกเขาเฝ้ามองเฟเรสตั้งแต่ที่อีกฝ่ายมาปรากฏตัวที่งานเลี้ยงอยู่ก่อนแล้ว จึงยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกันด้วยตัวเอง
และปลายทางเดินที่เกิดขึ้นกลางงานเลี้ยงนั่น ก็มีเธอยืนอยู่
เฟเรสไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เขามองแต่เธอที่ยืนอยู่ปลายทางเดิน และสาวเท้าก้าวเดินเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว
ราวกับคนที่ไม่รู้สึกถึงสายตาของใครหน้าไหนทั้งสิ้น
ตึกๆ
เฟเรสเดินมาหยุดตรงหน้าเธอพร้อมกับเสียงส้นรองเท้าหนากระทบพื้น
และพูดเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ คุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย”
“…ขอบพระทัยที่เสด็จมาร่วมงานวันเกิดของหม่อมฉันเพคะ”
อันที่จริงเธอเองก็ตกใจเล็กน้อยเหมือนกัน
ชั่วขณะ เธอเผลอนึกว่าเฟเรสจะพูดว่า ‘เทีย’ หรือไม่ก็ ‘อยู่ที่นี่เองเหรอ’ อะไรแบบนี้เสียอีก
ก็ปกติเขามีนิสัยไม่สนใจคนอื่นๆ เลยสักนิดไม่ใช่หรือไง
แต่น่าตกใจที่เฟเรสเรียกเธอว่า ‘คุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย’
มันเป็นครั้งแรก
อีกทั้งยังเล่นละครออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับพวกเราเพิ่งได้พบกันเป็นครั้งแรกในรอบหกปีจริงๆ
น่าภูมิใจชะมัด
นี่คือความรู้สึกของอาจารย์ที่เฝ้ามองลูกศิษย์ที่เติบใหญ่เป็นอย่างดีหรือเปล่านะ
เธอยิ้มกว้างต้อนรับเฟเรส ไม่คิดหันไปมองทางด้านจักรพรรดินีราวีนี่เลยสักนิด แล้วพูดกับเขา
“ได้ยินว่าจบการศึกษาจากอะคาเดมีด้วยคะแนนยอดเยี่ยมมากๆ ทั้งยังจบการศึกษาจากทั้งทางด้านพลเรือนและด้านการทหารในเวลาแค่ห้าปีด้วย! น่าทึ่งมากเลยนะเพคะ!”
เธอจงใจพูดให้ฟังดูน่าตื่นเต้นมากขึ้น
เหล่าชนชั้นสูงรอบๆ เองก็พยักหน้ายิ้มๆ เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
คนที่มีสีหน้าบึ้งตึงมีเพียงแค่จักรพรรดินีกับกลุ่มของนางเท่านั้น
“ก็แค่โชคดีน่ะครับ มันเป็นเพียงแค่ผลที่ได้จากการพยายามอย่างหนักเท่านั้นเอง”
เฟเรสตอบอย่างสุภาพ ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะถ่อมเนื้อถ่อมตัว ยิ่งทำให้เหล่าชนชั้นสูงรู้สึกดีกับเขามากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้นเฟเรสจึงค่อยเบนหน้าหันไปมองจักรพรรดินีราวีนี่
“ถวายบังคมจักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น มันเป็นเพียงแค่คำทักทายราบเรียบสั้นๆ
จะเรียกว่าเป็นการทักทายที่ไม่เคารพต่อจักรพรรดินีที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานหลายปีก็ได้
แต่จักรพรรดินีก็ยังคงเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ นางกล่าวกับเฟเรสด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเหมือนเดิม
“ยินดีด้วยที่เรียนจบนะคะ เจ้าชาย”
แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
เพียงไม่นานจักรพรรดินีก็หลุบตาลง แสร้งแสดงสีหน้าเหมือนคนได้รับความเจ็บปวดทางใจ
นี่คือการปะทะกันระหว่างเฟเรสกับจักรพรรดินีสินะ
น่าสนใจดีเหมือนกันนะเนี่ย
“แต่น่าเสียใจจังเลยนะคะ เจ้าชายกลับมาในรอบหกปี แต่กลับได้พบหน้ากันครั้งแรกในงานเลี้ยงเสียได้”
อา ถ้าเป็นเธอคงไม่พูดแบบนั้นออกมาหรอก!
เพราะว่า
“ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ เมื่อวานกว่ากระหม่อมจะกลับถึงวังก็ดึกแล้ว กระทั่งกับฝ่าบาทเองยังต้องแวะไปทักทายระหว่างการประชุมเลยด้วยซ้ำ อย่าเสียใจมากไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เพราะเฟเรสอาจจะพูดเรื่องเกี่ยวกับการประชุมออกมาได้แบบนี้ยังไงล่ะ
และถ้าเป็นเช่นนั้นละก็
“อ๊ะ! ได้ยินหลายท่านพูดกันอยู่เหมือนกันเพคะได้ยินว่าตั้งแต่การประชุมใหญ่ครั้งต่อไป เจ้าชายก็จะเข้าร่วมการประชุมด้วยสินะเพคะ เจ้าชายลำดับที่สอง”
แล้วเธอเองก็สามารถพูดรับส่งกับเขาแบบนี้ได้เช่นกัน
“ประชุมใหญ่…?”
“นั่นมันสุดยอดไปเลยไม่ใช่เหรอ”
มันเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็น ทำให้ยังมีชนชั้นสูงอยู่หลายคนทีเดียวที่ยังไม่ได้ยินข่าวเรื่องที่ว่า
พวกเขาตกใจเหลือบมองจักรพรรดินี แล้วกระซิบกระซาบกันในทันที
คนมากมายที่จักรพรรดินีจงใจดึงเข้ามาเพื่อใช้กดดันให้เธอต้องข้องเกี่ยวกับนางในตอนแรก และผู้คนทั้งหลายที่มารวมตัวกันจากการปรากฏตัวของเฟเรส
ถ้ารวมกับผู้คนที่เฝ้ามองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนี้อยู่ห่างๆ ด้วยละก็ กลายเป็นว่ามีชนชั้นสูงหลายสิบคนได้ทราบความจริงแล้วว่า ต่อไปเฟเรสเองก็จะได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่เช่นเดียวกันกับอาสทาน่า
“ใช่แล้วครับ”
พอเห็นเฟเรสพยักหน้ายอมรับอย่างเรียบง่าย เสียงฮือฮาของทุกคนก็ยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
โธ่เอ้ย ติดกับจนได้
เธอพยายามอดกลั้นไม่ให้เผลอระเบิดเสียงหัวเราะออกไป
ถ้าคิดจะมายุ่งกับเธอสุ่มสี่สุ่มห้าละก็ มันจะกลายเป็นแบบนี้ยังไงล่ะ จักรพรรดินีราวีนี่
หลังจากให้เวลาจักรพรรดินีราวีนี่ได้โมโหเสียจนเปลือกตาสั่นระริก และให้เวลาชนชั้นสูงทั้งหลายได้ตกใจกันมากพอแล้ว เธอก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายเฟเรส แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“หม่อมฉันอยากแนะนำให้เจ้าชายลำดับที่สองได้รู้จักกับคนรอบๆ เพคะ องค์จักรพรรดินีเจ้าชายไม่ได้กลับมาเมืองหลวงตั้งหกปี คงมีคนอยากรู้จักพระองค์มากทีเดียว”
เธอยื่นข้อเสนอที่เปี่ยมไปด้วยความเอาใจใส่ จนอีกฝ่ายไม่อาจหาข้อโต้แย้งได้
ดังนั้นจักรพรรดินีจึงสามารถตอบได้เพียงแค่คำพูดเดียวเท่านั้น
“…ทำตามนั้นเถอะค่ะ คุณหนูลอมบาร์เดีย”