เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 127.2
เครย์ลีบันยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาไขว่ห้างอย่างผ่อนคลายพลางพูดว่า
“ไม่ใช่เรื่องงานของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันหรอกครับ ร้านขายเสื้อผ้าตอนนี้ต่อให้ไม่มีข้า ก็อยู่ได้อย่างมั่นคงปลอดภัยดีแล้ว เพียงแต่เรื่องเขตแดนเชซายู…”
“เรื่องที่ดินทางใต้ที่ได้รับพระราชทานพร้อมเหรียญเกียรติคุณนั่นเอง ได้ยินว่าช่วงนี้ก็เดินทางไปยังเขตแดนเชซายูอยู่บ่อยๆ ใช่มั้ยครับ”
“ครับ มันเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและมีอิสระเหมือนอย่างที่ท่านป้าบอกจริงๆ เพียงแต่…”
ความกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของแคลอฮันอีกครั้ง
“ถึงแม้ข้าจะได้รับมอบที่ดินมาไว้ในครอบครอง แต่ดูเหมือนจะเป็นเพราะข้าไม่ได้สนใจมันมาเสียนานมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันละมั้งครับ สภาพคล่องทางการเงินของเขตแดนเชซายูจึงยังไม่ค่อยดีเลยครับ”
“ย่ำแย่ขนาดไหนถึงได้กังวลมากแบบนี้หรือครับ”
“อา แน่นอนว่าพวกพลเมืองก็ไม่ถึงกับอดอยากหรอกครับ แต่มันก็ค่าเท่านั้นอยู่ดี”
เชซายูเป็นเขตแดนขนาดไม่เล็ก อีกทั้งยังมีพลเมืองอาศัยอยู่นับหมื่น
พูดให้ชัดเจนก็หมายความว่า ชีวิตของคนนับหมื่นเหล่านั้น ในตอนนี้ขึ้นอยู่กับแคลอฮันแล้ว
มันทำให้แคลอฮันที่เพิ่งจะเริ่มดูแลบริหารเขตแดนเชซายูได้ไม่นาน รู้สึกได้ถึงภาระอันใหญ่หลวงที่เกินกว่าจะแบกรับไหว
“ปีที่การเพาะปลูกได้ผลผลิตสูงก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ อย่างไรก็มีอาหารให้กินกันอยู่แล้ว แต่ในปีที่มีภัยแล้งจนผลผลิตไม่ดีนัก มีอีกหลายร้อยชีวิตต้องล้มตายน่ะครับ เพราะทั่วทั้งเขตแดนก็พึ่งพาเพียงแค่เรื่องการเพาะปลูกอย่างเดียว”
“พูดตามตรง เขตแดนที่เลือกปกป้องรักษาชีวิตของสามัญชนในอาณาจักรแห่งนี้ กลับเป็นเรื่องแปลกมากกว่าครับ”
เครย์ลีบันพูดอย่างเลือดเย็น
“ข้าเองก็ทราบครับ แต่ว่า…”
รอยย่นปรากฏขึ้นบนหน้าผากของแคลอฮัน
“ข้าเห็นท่านพ่อบริหารจัดการลอมบาร์เดียมาตลอดทั้งชีวิตครับ ถึงแม้จะไม่ได้หวังให้เชซายูพัฒนาได้เหมือนลอมบาร์เดียในระยะเวลาอันสั้นก็เถอะ แต่อย่างน้อยข้าก็อยากให้มีวิธีที่พอจะทำให้พลเมืองในเชซายูได้ใช้ชีวิตกันอย่างมั่นคงหน่อยน่ะครับ เหมือนอย่างประชาชนของลอมบาร์เดีย”
“…โลภมากเหมือนกันนะครับเนี่ย”
แคลอฮันระเบิดหัวเราะเสียงดังด้วยความเขินอายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเครย์ลีบัน
“ฮ่าฮ่า ใช่มั้ยล่ะครับ”
“แต่ก็ในฐานะของคนที่กลายเป็นผู้รับผิดชอบเขตแดนเขตหนึ่ง ก็ถือเป็นความกังวลที่เท่มากเลยนะครับ”
“ขะ ขอบคุณครับ ได้รับคำชมเช่นนั้นจากคุณเครย์ลีบันเลยหรือนี่”
“…หากใครมาได้ยินเข้า คงได้เข้าใจว่าข้าเป็นพวกเลือดเย็น ไม่รู้จักพูดจาดีๆ กับคนอื่นเขาบ้างหรอกครับ”
แต่แคลอฮันกลับหัวเราะกระอักกระอ่วน หลบเลี่ยงที่จะตอบคำพูดนั่น
เครย์ลีบันจ้องหน้าแคลอฮันที่ทำตัวเช่นนั้นด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ
“นอกจากที่ดินกว้างใหญ่ให้ทำการเพาะปลูกแล้ว ผืนดินเชซายูยังมีทรัพย์สินอีกอย่างหนึ่งนะครับ”
“มันคือ…อะไรหรือครับ”
“แม่น้ำยังไงล่ะครับ เขตแดนเชซายูตั้งอยู่ในบริเวณการบรรทุกขนส่งของลุ่มแม่น้ำนกทาร์ที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่หรือครับ”
“อา…”
“และถ้าหากเดินทางผ่านแม่น้ำนกทาร์นั่นลงไปหน่อยละก็”
“มันจะไปตัดกับแม่น้ำเอลวี่ที่เชื่อมต่อไปจนถึงเขตแดนรูมันทางตะวันออกใช่มั้ยครับ! ”
“ใช่แล้วละครับ”
รอยยิ้มจางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเครย์ลีบัน
“ก็เหมือนกับว่าเชซายูเป็นจุดศูนย์กลางการคมนาคม ที่ช่วยเชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคใต้นั่นแหละครับ ข้าคิดว่ามันมีจุดแกร่งมากพอจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นเส้นทางการค้า ที่สามารถเลี่ยงเส้นทางเดินเขาที่มักจะใช้เดินทางเชื่อมต่อไปจนถึงตะวันออกได้ด้วยครับ”
“ว่าแล้วเชียว คุณเครย์ลีบัน!”
เครย์ลีบันยักไหล่ไม่แยแสคำสรรเสริญของแคลอฮัน
ความหมายของมันคือ ‘เรื่องแค่นี้เอง’
ในตอนนั้นเอง บุตรชายฝาแฝดของชานาเนสก็เข้ามาร่วมโต๊ะของทั้งคู่
“ผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่ทำไมเนี่ย”
“ก็คนมากมายมารวมตัวกันนี่นา คงมาเพื่อแสร้งทำเป็นว่าตัวเองเจ๋งเสียเต็มประดานั่นแหละ”
“พูดเรื่องอะไรกันหรือ คิลลีวู เมโลน”
คำถามของแคลอฮันทำให้สองแฝดแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตอบ
“องค์…จักรพรรดินีมาหาเรื่องเทียอีกแล้วน่ะสิครับ”
“คิดหาทางกดข่มเทียทุกครั้งที่เจอหน้ากันในงานเลี้ยงเลย”
“ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยทำได้สำเร็จเสียหน่อย แล้วจะพยายามทำอยู่เรื่อยทำไมเนี่ย”
“ท่านแม่ก็เหมือนกัน เพราะผู้หญิงคนนั้น…เพราะจักรพรรดินีเสด็จมาร่วมงาน ทำให้ท่านแม่รำคาญจนไม่ยอมมาร่วมงานเลี้ยง”
“อึก เกลียดชะมัด”
สีหน้าของแคลอฮันที่ได้ยินบทสนทนาของสองแฝดพลันมืดครึ้มในทันที
บั้นท้ายของเขาขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
“ท่าทางข้าคงจะต้องไปดู…”
“ท่านฟีเรนเทียไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
เครย์ลีบันเอ่ยห้ามแคลอฮันเอาไว้
“ไม่ต้องกังวลมากไปหรอกครับ”
น่าเป็นห่วงจักรพรรดินีที่คิดหาเรื่องท่านฟีเรนเทียมากกว่าละมั้ง
เครย์ลีบันลอบหัวเราะอยู่ในใจในขณะที่คิดเช่นนั้น
“ท่านฟีเรนเทียออกจะเฉลียวฉลาดปานนั้น ต่อให้เผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดินี ก็ย่อมผ่านมันไปได้โดยไม่มีการกระทบกระทั่งกันหรอกครับ”
“อย่างนั้นหรือครับ”
แคลอฮันพยักหน้าให้กับคำพูดของเครย์ลีบัน แล้วนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
แต่ก็เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น
แคลอฮันอดทนเอาไว้ไม่ไหว เขาลุกขึ้นพรวดจากที่นั่ง
“ยังไงก็คงไม่ได้หรอกครับ”
“ท่านแคลอฮัน”
“ข้าคงต้องไปตรวจเช็กให้แน่ใจเสียหน่อย ว่าเทียเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เทียไม่เป็นอะไรครับ”
แต่แล้วก็มีอีกเสียงเอ่ยห้ามแคลอฮันเอาไว้
เป็นเฟเรสที่ถูกรูลลักแย่งเวลาอยู่กับเทียไปนั่นเอง
“…เจ้าชายลำดับที่สอง?”
แคลอฮันถามด้วยเสียงไม่แน่ใจนัก เพราะเขาจำได้แต่เฟเรสในวัยเยาว์
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ ท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย”
“กะ…เกือบจำไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
แคลอฮันตกใจจนพูดตะกุกตะกัก
เฟเรสเปลี่ยนไปมากจนน่าตกใจ
“ข้าเพิ่งไปพบเทียมาน่ะครับ ตอนนี้นางกำลังสนทนาอยู่กับท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงก็ได้ครับ”
“อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ…”
สีหน้าของแคลอฮันที่นิ่งเกร็งไปด้วยความเป็นห่วงบุตรสาวพลันสดใสขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ในขณะเดียวกัน เครย์ลีบันที่ยืนอยู่ข้างกายแคลอฮันก็ได้แต่เบิกตากว้าง ไม่อาจละสายตาห่างไปจากเฟเรสได้เลย
เขาทราบดีอยู่แล้วว่า ฟีเรนเทียกับเฟเรสติดต่อหากันทางจดหมายอยู่เป็นประจำ
เพราะอย่างนั้นเขาจึงได้รับข่าวคราวของเจ้าชายลำดับที่สองจากท่านฟีเรนเทียอยู่บ่อยๆ เช่นกัน
เพียงแต่ข่าวสารที่เขาได้รับมีเพียงแค่เรื่องจำพวก ‘สนิทสนมกับใครบ้าง’ หรือไม่ก็ ‘สอบวิชาไหนได้ที่ 1 บ้าง’ เท่านั้น
เวลาล่วงเลยผ่านไป เขาได้เห็นฟีเรนเทียเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่เฟเรสที่เขาจดจำได้ก็เป็นเพียงแค่เด็กตัวน้อยที่จู่ๆ ก็ต้องเดินทางไปยังอะคาเดมีเท่านั้น
แต่เฟเรสที่ปรากฏตัวขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปได้หกปีคนนี้ กลับอยู่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้มาก
‘แรงกดดันมหาศาลนัก’
เครย์ลีบันคิดเช่นนั้นในขณะที่เหม่อมองเฟเรส
ตอนนี้อีกฝ่ายอาจจะกำลังสนทนากับแคลอฮันด้วยท่าทางอ่อนโยนก็จริง แต่ถ้าหากคนเช่นนั้นคิดว่าเขาเป็นศัตรู แล้วใช้สายตาคู่นั้นจับจ้องมาทางนี้ละก็
อึก
เครย์ลีบันถึงกับกลืนน้ำลาย นิ่วหน้าลงโดยไม่รู้ตัว
คนที่มีรังสีในระดับนั้นเท่าที่เขาเคยรู้จักมา มีเพียงแค่รูลลักคนเดียวเท่านั้น
เขาเองก็เคยไปร่วมงานเลี้ยงในวัง เคยได้พบหน้าองค์จักรพรรดิโยบาเนสอยู่หลายครั้งแล้วก็จริง แต่คนพวกนั้นไม่ได้มีแรงกดดันอันรุนแรงเหมือนอย่างเฟเรสเลยสักนิด
ขณะที่คิดเช่นนั้น
เครย์ลีบันก็เผลอสบเข้ากับนัยน์ตาสีแดงของเฟเรส
“ยังคงเหมือนเดิมเลยสินะ”
และเครย์ลีบันก็สามารถอ่านความรู้สึกทั้งหลายแหล่ที่วาบขึ้นมาในนัยน์ตาคู่นั้นเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที ถึงจะอ่านได้เพียงแค่น้อยนิดก็ตาม
“คุณชายเครย์ลีบัน เพลเลส เจ้าของร้านค้าเพลเลส”
มันเป็นความระแวดระวังที่มากพอจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ผสมผสานกับความรู้สึกสนใจเพียงเล็กน้อย