เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 102.2
รถม้าติดสัญลักษณ์ลอมบาร์เดียหยุดจอดอยู่หน้าวังโฟอิรัค
และคนที่ลงมาจากรถม้าคันนั้นไม่ใช่ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย สหายเพื่อนเล่นของเจ้าชายลำดับที่สองแต่อย่างใด
แคทเธอรีนยืนรออยู่หน้ารถม้า นางก้มศีรษะอย่างนอบน้อม กล่าวทักทายอีกฝ่าย
“มาแล้วหรือคะ ท่านเจ้าตระกูล”
“อืม สบายดีมั้ย”
รูลลัก ลอมบาร์เดียตบไหล่แคทเธอรีนเบาๆ สองสามครั้งพลางพูดขึ้น
“เจ้าชายลำดับที่สองรออยู่ที่ห้องรับรองค่ะ เชิญทางด้านนี้เลยนะคะ”
รูลลักเดินตามหลังนางเข้าไปในวังโฟอิรัคอย่างว่าง่าย
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ถามคำถามแคทเธอรีนจากด้านหลัง
“ดูแลเด็กเล็กเป็นเช่นไรบ้าง พอไหวมั้ย”
“…ได้แต่หวังมากกว่าค่ะ ถ้าเจ้าชายลำดับที่สองทรงทำตัวเหมือนเด็กบ้างก็คงจะดี”
“ก็นะ เด็กนั่นนิสัยเป็นเช่นนั้นนี่นา แต่ถ้าเจ้าเบื่องานนี้ ก็มาลอมบาร์เดียได้ทุกเมื่อละ ข้าเก็บตำแหน่งของเจ้าเอาไว้ให้เสมอ”
“ขอบคุณค่ะ ท่านเจ้าตระกูล”
หลังพูดคุยบทสนทนาสั้นๆ ทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในห้องรับรอง
“ไม่ได้พบกันเสียนาน”
เฟเรสเพียงแค่ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของรูลลักเท่านั้น
รูลลักเองก็ได้รับรายงานสถานการณ์ล่าสุดของเฟเรสจากแคทเธอรีนแล้ว เพราะฉะนั้นเขาเองก็รู้ดีว่าที่ผ่านมาพวกผู้ดูแลประจำตัวจักรพรรดินีเข้าออกวังโฟอิรัคบ่อยแค่ไหน
เก็บซ่อนตัวให้ต้องอยู่อย่างยากลำบาก หลังจากนั้นก็ยังคิดขับไสไล่ส่งไปยังอะคาเดมีในแต่ละวันจักรพรรดินีจะย่างกรายมายังวังแห่งนี้ด้วยตัวเอง หรือไม่ก็สั่งให้คนนำเอกสารมาโน้มน้าวให้เฟเรสเขียนใบสมัครเข้าเรียน
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เฟเรสเองก็จัดการขัดขวางได้เป็นอย่างดี แต่ในมุมมองของแคทเธอรีนแล้ว การจะเอาแต่เมินเฉย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มันถึงทางตันเข้าแล้ว
เพราะฉะนั้นนางถึงได้ส่งเรื่องไปขอร้องให้รูลลักซึ่งเป็นผู้ปกครองอย่างเป็นทางการ ช่วยเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ให้
รูลลักมองเฟเรสด้วยความไม่พอใจนัก ก่อนจะเปิดปากพูดธุระที่มาหาในวันนี้ทันที
“เจ้า ทำไมถึงได้ดื้อรั้นไม่ยอมไปอะคาเดมีขนาดนั้นกัน”
คำว่า ‘อะคาเดมี’ ทำให้คิ้วเข้มของเฟเรสกระตุกหนึ่งครั้ง
รูลลักอยากจะตำหนิเสียเหลือเกินว่าไอ้นิสัยปิดปากเงียบเหมือนหอยนั่น มันแก้ไขไม่ได้หรือยังไง แต่เสียงทุ้มต่ำที่ดังตามมาทีหลังกลับยิ่งทำให้เขาไม่พอใจมากกว่าเดิม
“ไม่อยากไปครับ”
หากเป็นหลานชายของตน รูลลักคงลงมือตบเสียงดังไปแล้ว
แต่หากลงไม้ลงมือกับเจ้าชายในพระราชวัง เรื่องที่ต้องตามเช็ดตามล้างหลังจากนั้นคงน่ารำคาญน่าดู
“เหตุผลอะไร”
คำถามของรูลลักทำให้เฟเรสต้องเงยหน้าขึ้น
และมองรูลลักตรงๆ ไม่หลบตาด้วยนัยน์ตาสีแดงคู่นั้น ในขณะที่ตอบอย่างหนักแน่น
“ไม่อยากถูกผลักไสไปจากพระราชวังครับ”
เสียงนั้นค่อนข้างดื้อดึงพอสมควร
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมา กลับเป็นเพียงแค่คำพูดเสียดสีเหน็บแนมกัน
“ไม่อยากถูกผลักไสงั้นหรือ แล้วนั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เจ้าจะทำได้แล้วหรือยังไง”
“อย่างน้อยก็ทำให้ความต้องการของจักรพรรดินีไม่เป็นจริงได้นี่ครับ”
“นั่นดูไม่ใช่คำตอบในคำถามของข้าเลยนะ”
“…”
เฟเรสปิดปากเงียบอย่างที่ติดเป็นนิสัยอีกครั้ง
และนัยน์ตาดุดันสีแดงสดคู่นั้นก็ยังคงเย็นชาไม่ต่างจากในวัยเยาว์ รูลลักจึงได้แต่เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอ
รู้สึกขายหน้าเสียจริงที่คิดจะใช้เด็กคนนี้เป็นเครื่องมือในการขัดขวางจักรพรรดินีราวีนี่
แต่เพราะหลานสาวที่รักของเขาบอกว่า ‘เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุด’ ของนาง ทั้งยังเอาแต่ชมเด็กนี่ไม่หยุด ทำให้รูลลักเองก็เผลอใจอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
รูลลักเปิดปากพูด เขาตั้งใจแล้วว่าการให้คำแนะนำเด็กนี่ ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
“คิดว่าเจ้าอยู่ในพระราชวังแบบนี้ต่อไป จะสามารถต่อกรกับอังเกนัสและจักรพรรดินีได้อย่างนั้นหรือ”
“…ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกครับ”
ช่างเพ้อฝันเสียจริง
รูลลักไม่คิดเก็บซ่อนเสียงหัวเราะเย้ยหยัน
“ก็คงจะก่อกวนหรือทำให้พวกนั้นรำคาญใจได้บ้างนั่นแหละ แต่มันมีแต่จะกลายเป็นแค่กรวดหินน่ารำคาญยามพวกนั้นเหยียบเท้าย่างกรายเดินมุ่งหน้าสู่บัลลังก์เสียเปล่า และกรวดหินนั่นก็ไม่อาจขัดขวางไม่ให้อาสทาน่าขึ้นนั่งบนบัลลังก์ได้แน่นอน เจ้าต้องการแก้แค้นไม่ใช่หรือไง”
แทนคำตอบ นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสส่องประกายวาบราวกับมีไฟลุกโชนข้างในนั่น
“เพราะฉะนั้นก็ต้องแย่งชิงสิ่งที่พวกนั้นต้องการที่สุดมาให้ได้สิ นั่นต่างหากถึงจะเป็นการแก้แค้นอย่างแท้จริง”
รูลลักทิ้งท้ายไว้เพียงแค่ประโยคนั้น ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
เฟเรสไม่ได้เดินตามออกไปส่ง เมื่อเหลืออยู่เพียงลำพัง เขาเอาแต่นั่งอยู่บนโซฟาตัวยาวในห้องรับรอง ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
* * *
การพบปะครั้งแรกของบรรดาผู้เข้าร่วมเปิดตัวด้วยงานเปิดตัวที่ทางราชวงศ์เป็นเจ้าภาพ จัดขึ้นในโถงงานเลี้ยงเล็กๆ ประจำพระราชวัง
ในสถานที่ที่มักจะใช้จัดงานเลี้ยงน้ำชาเป็นหลักแห่งนี้ นอกจากเธอแล้ว เด็กผู้หญิงคนอื่นจำนวนเจ็ดคนต่างก็มาถึงกันก่อนแล้ว
“โอ๊ะ…?”
ดูเหมือนเด็กสาวกลุ่มนั้นจะรู้กันอยู่แล้วว่ามีใครได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเปิดตัวในครั้งนี้บ้าง ทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น พวกนางก็หันมามองด้วยความตกใจ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครเดินเข้ามาใกล้เธอ พวกนางเอาแต่กระซิบกระซาบคุยกันเองในกลุ่ม
ภาพที่เห็นตรงหน้าทำเอาเธอหมดอารมณ์ที่จะเป็นฝ่ายเข้าไปทักทายก่อน จึงเลือกนั่งลงฝั่งตรงข้ามโต๊ะตัวกลมแทน
เธอรู้สึกได้ว่าคุณหนูเจ้าของผมสีแดงที่นั่งอยู่คนเดียวใกล้ตำแหน่งที่เธอนั่งอยู่กำลังมองเธออยู่
แต่ก่อนที่จะได้ทำความรู้จักกัน คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในโถงงานเลี้ยงเสียก่อน
หญิงชราผมขาวโพลนเดินนำอยู่หัวขบวน นางกวาดสายตาหันมามองพวกเราอย่างช้าๆ ก่อนจะพูดขึ้น
“ทุกท่านมาถึงกันแล้วสินะคะ”
นางเป็นเพียงแค่หญิงชราร่างเล็กผอมเกร็งและหลังค่อม แต่ในพระราชวังแห่งนี้ไม่มีใครสามารถดูถูกนางได้ทั้งสิ้น
แม้กระทั่งจักรพรรดินีราวีนี่เอง ต่อหน้าหญิงชราคนนี้ก็ยังต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ดี
“ข้าผู้ชราคนนี้มีนามว่า พอนต้า อิมพีกร้า เป็นหัวหน้านางกำนัลประจำพระราชวังค่ะ ทุกท่านสามารถเรียกว่าพอนต้าได้ตามสบายนะคะ”
นางคือผู้ดูแลพระราชวังแห่งนี้ในฐานะหัวหน้านางกำนัล ทำงานมากว่า 40 ปี ตั้งแต่สมัยอดีตองค์จักรพรรดิ และหัวแรงหลักในการจัดงานเลี้ยงเปิดตัวประจำราชวงศ์ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ก็คือหัวหน้านางกำนัลประจำพระราชวัง พอนต้า อิมพีกร้าคนนี้นั่นเอง
และสายตาของนางก็กำลังจ้องตรงมาที่เธอ