เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 107.2
ของคุณภาพต่ำอย่างนั้นหรือ คำพูดของจักรพรรดินีช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน
อัณมณีที่แพงที่สุด หายากที่สุด ก็คือเพชรนี่แท้ๆ !
ใบหน้าของอาสทาน่าบิดเบี้ยวด้วยความโมโห
และแย่งเอากระดุมเพชรเม็ดนั้นกลับคืนมาจากมือของจักรพรรดินีอีกครั้ง
นัยน์ตาของจักรพรรดินีเบิกกว้าง นางไม่คิดเลยว่าอาสทาน่าจะทำเช่นนี้กับนาง
“น่าขายหน้าเกินไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ เรื่องที่ควรยอมรับก็ต้องยอมรับสิพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เกลียดลอมบาร์เดียแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะจัดการอะไรได้เสียหน่อย”
“อะเจ้าชาย…! ”
จักรพรรดินีราวีนี่ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“งานเลี้ยงครั้งนี้ก็เหมือนกัน หากเสด็จแม่ไม่ไปยุ่งกับหัวหน้านางกำนัลอิมพีกร้า ก็คงไม่เกิดปัญหาเช่นนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนนี้บุตรชายที่นางรักใคร่กำลังพูดเรื่องอะไรกัน
แต่คำพูดก้าวร้าวของอาสทาน่าก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น
“และต่อให้เป็นเสด็จแม่ หากกล้ามาแย่งชิงของของข้าเช่นนี้ ข้าก็ไม่อาจยกโทษให้ได้หรอกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ยะ ยกโทษ…”
จักรพรรดินีตัวเซเล็กน้อยด้วยความตกตะลึง
แต่อาสทาน่ากลับทำเพียงแค่จ้องนางด้วยนัยน์ตาเย็นชาเท่านั้น ไม่คิดที่จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือ
“เจ้าชาย พูดจาแบบนั้น…กับข้าได้ยังไง…”
แต่อาสทาน่าก็ยังคงทำเพียงแค่พ่นลมหายใจเสียงดังหึ ก่อนจะเดินตรงไปยังกลางโถงจัดงานเลี้ยง เดินห่างออกไปไกลจากจักรพรรดินีเท่านั้น
“จักรพรรดินีก็ควรที่จะมีเกียรติเสียบ้าง…”
อาสทาน่าพึมพำด้วยความหงุดหงิด
ทั้งความยึดติดอย่างผิดปกติในเรื่องเกี่ยวกับลอมบาร์เดียของมารดา ทั้งอังเกนัสที่ทำงานไม่เคยได้เรื่องแม้แต่งานเดียว เขาเบื่อมันทั้งหมด
“เจ้า มานี่”
อาสทาน่าเอ่ยเรียกผู้ดูแลที่เดินถือถาดวางแก้วไวน์ที่กำลังเดินผ่านไป
ถึงแม้จะยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นผู้ใหญ่ แต่ถึงยังไงอาสทาน่าก็เป็นเจ้าชาย
ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของอาณาจักร
ผู้ดูแลคนนั้นลังเลไปชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ส่งแก้วไวน์ให้แก่อาสทาน่า
“โฮ่ว อร่อยเหมือนกันแฮะ”
พอเห็นอาสทาน่าจิบไวน์หนึ่งอึกแล้วเอ่ยชมเช่นนั้น ผู้ดูแลก็อธิบายเสียงแผ่ว
“เป็นไวน์วินเทจคาร์โลพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ของแพงสุดๆ เลยไม่ใช่หรือ”
มันเป็นชื่อที่แม้แต่อาสทาน่าที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับไวน์ดีนัก ก็ยังเคยได้ยินชื่อบ้างสองสามครั้ง
“ว่าแล้วเชียว ลอมบาร์เดีย…”
อำนาจของลอมบาร์เดีย ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีแต่จะยิ่งใหญ่มากขึ้น
ไม่ใช่แค่ตระกูลลอมบาร์เดียเท่านั้น ทั้งร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน ทั้งร้านค้าเพลเลสที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุดก็เช่นเดียวกัน
เพียงแค่งานเลี้ยงเปิดตัวงานนี้งานเดียว ก็สามารถทราบได้แล้วว่าลอมบาร์เดียเป็นตระกูลที่พิเศษขนาดไหน
“ต่างจากอังเกนัสที่แค่ลานล่าสัตว์ดีๆ สักที่ก็ยังหาให้ไม่ได้ลิบลับ”
สุดท้ายเจ้าตระกูลอังเกนัสก็ล้มเหลวในการจัดหาลานล่าสัตว์ที่อาสทาน่าต้องการ
ถึงแม้จะจัดเตรียมที่ดินที่มีสภาพเงื่อนไขคล้ายกันไว้ให้ก็เถอะ แต่มันก็ไม่อาจทำให้เขาพอใจได้อยู่ดี
ในตอนนั้นเองผู้ดูแลที่ยืนอยู่ข้างประตูดอกไม้ก็ประกาศเสียงสูง
“การเข้างานของคุณหนูที่จะเปิดตัวในวันนี้ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้วครับ! ”
ประตูที่ปิดสนิทถูกเปิดออก ในขณะที่คู่แรกปรากฏตัวขึ้น
พวกเขาคือหญิงสาวที่จะเปิดตัวและคาวาเลียร์ที่จะร่วมเต้นรำเปิดฟลอร์เป็นคู่แรกของปีนี้
“คุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย! บุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านชายแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย…”
ฟีเรนเทียจับมือเฟเรสเอาไว้ในขณะที่เดินเข้าไปในงานเลี้ยงท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้คน
เดรสสีเขียว เรือนผมสีน้ำตาลเงางามส่องประกายยามต้องแสง ประกอบกับเหล่าดอกไม้ที่ตกแต่งอยู่รอบๆ งาน ทำให้นางดูเหมือนภูตตัวน้อยที่อาศัยอยู่ในป่าลึก
“ว้าว เป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ เลยนะคะเนี่ย!”
“เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เยาว์วัยในฐานะสหายใช่มั้ยคะ ถึงได้ดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ”
ได้ยินเสียงสนทนาของเหล่าคุณหญิงคุณนายที่อยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูงมานาน
อาสทาน่าเหม่อมองฟีเรนเทีย
และเมื่อหันศีรษะไปอีกทางก็เห็นเฟเรสจับมือข้างนั้นอยู่
“ลอมบาร์เดีย…”
อาสทาน่าขมวดคิ้วแน่น พึมพำกับตัวเอง รู้สึกได้ถึงรสชาติขมปร่าของไวน์ที่เหลือค้างอยู่บนปลายลิ้น
* * *
“อ๊า ตื่นเต้นจัง”
พอมายืนอยู่หน้าประตูที่จะใช้เดินเข้างานเลี้ยงเปิดตัว จู่ๆ ความตื่นเต้นก็ประเดประดังถาโถมเข้าใส่
“คุณหนู ไหวมั้ยคะ”
ลอรีลช่วยลูบหลังให้เธอ พลางถามด้วยความเป็นห่วง
“อื้อ ไหว”
ไม่ ที่จริงเธอไม่ไหวแล้ว
รู้สึกเหมือนหัวใจจะกระเด็นหลุดออกมาจากปากอยู่แล้ว ลอรีล
“เห็นว่าเมื่อครู่นี้ท่านเจ้าตระกูล ท่านแคลอฮัน และก็ครอบครัวของท่านชานาเนส ต่างก็มาถึงงานเลี้ยงกันแล้วละค่ะ อ๊ะ! และก็ท่านพี่…ไม่สิ ท่านเครย์ลีบันก็ด้วยค่ะ”
“เหรอ มากันทั้งครอบครัวเลยสินะ”
“แน่นอนสิคะ! วันเปิดตัวของคุณหนูนะคะ! ทุกท่านจะยอมพลาดได้ยังไงล่ะคะ!”
“อึก…”
ยิ่งตระหนักได้ว่ามันเป็นงานที่ใหญ่มาก ขนาดที่คนในตระกูลลอมบาร์เดียต้องมารวมตัวกันทุกคน ก็ทำให้ท้องไส้รู้สึกปั่นป่วนขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมถึงได้ตื่นเต้นขนาดนี้นะ ลอรีล เป็นแบบนี้ต่อไปข้าจะสลบไปหรือเปล่าเนี่ย”
ก็แค่ทักทายต่อหน้าผู้คนครั้งเดียว และหลังจากนั้นก็แค่เต้นรำหนึ่งรอบเท่านั้นเองแท้ๆ
แต่ก็นะ คนก็เยอะนิดหน่อยด้วย
นิดเดียว ไม่สิ เยอะมาก…
“แต่คุณหนูยังดีนะคะ คุณหนูท่านอื่นๆ น่ะ… โดยเฉพาะคุณหนูคีทอเวล…”
คำพูดของลอรีลทำให้เธอหันไปมองทิลเลียน่าที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
ใบหน้าสุขภาพดีมีเลือดฝาด ในตอนนี้กลับซีดเผือดด้วยความกลัว ทิลเลียน่าเอาแต่เหม่อมองไปยังที่หนึ่ง ไม่ได้ฟังเลยว่าคาวาเลียร์ที่ยืนอยู่ข้างกายตัวเองจะพูดปลอบอะไรบ้าง
เธอพูดกับทิลเลียน่า
“นี่ ทิลเลียน่า”
“…ค่ะ”
ปฏิกิริยาตอบรับช้าเกินไปหนึ่งจังหวะ
“ถ้าตื่นเต้นมาก ดื่มน้ำสักหน่อยเป็นไงคะ”
“…ค่ะ”
“อ๊ะ เมื่อครู่นี้มีกบกระโดดเข้าไปในเดรสน่ะ”
“…ค่ะ”
“ตอนนี้ไม่ได้ฟังที่ข้าพูดสักคำเลยใช่มั้ยคะเนี่ย”
“…ค่ะ”
สติหลุดไปแล้วสินะ
ท่าทางนอกจากให้งานเลี้ยงรีบๆ เริ่มไวๆ จะได้ออกไปปะทะกับของจริงไวๆ แล้ว ก็คงไม่มีหนทางแก้ปัญหาได้แล้วละ
“พยายามเข้านะคะ”
เธอตบไหล่พาร์ตเนอร์ของทิลเลียน่าเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ เขาคือเด็กผู้ชายคนที่เธอคิดว่าหน้าตาเหมือนเครนีย์เมื่อคราวก่อนนั่นเอง หลังจากนั้นจึงค่อยหมุนตัวเดินกลับมาประจำที่ของตัวเอง
“คุณหนู อยู่นิ่งๆ สักประเดี๋ยวนะคะ”
ลอรีลช่วยจัดเสื้อผ้าหน้าผมของเธอให้อย่างระมัดระวังด้วยใบหน้าจริงจังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะพูดขึ้น
“ตอนนี้ข้าคงต้องกลับเข้าไปในงานแล้วละค่ะ ไว้เจอกันข้างในนะคะ คุณหนู อย่าตื่นเต้นมากนะคะ”
“อื้อ ข้าไม่เป็นไร เข้าไปเถอะ”
ลอรีลยังคงเหลียวกลับมามองเธอด้วยความเป็นห่วงอยู่หลายรอบ ก่อนจะยอมเดินจากไป
“ฮู่ว…”
อันที่จริงเธอไม่ไหวแล้ว
หัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติดีตอนที่พบจักรพรรดิกับจักรพรรดินีหรือแม้กระทั่งตอนเปิดกิจการที่มีรายได้หมุนเวียนกว่าหลายพันเหรียญทอง วันนี้กลับว้าวุ่นเป็นพิเศษ
“ต้องสูดลมหายใจลึกๆ สูดลมหายใจ…”
แต่แล้วในตอนที่เงยหน้าขึ้นพลางสูดลมหายใจให้เต็มปอด
ก็พลันมองเห็นเฟเรสที่ยืนอยู่ไกลๆ
“จะยืนอยู่ตรงนั้นจนถึงเมื่อไหร่เนี่ย”
สายตาคู่นั้นกำลังมองเธออยู่ชัดๆ
แล้วทำไมถึงได้เอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่เดินเข้ามาใกล้สักทีล่ะ
“เฟเรส เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของเธอ เฟเรสถึงค่อยกะพริบตาปริบๆ อย่างเชื่องช้า ราวกับคนที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล
“เทีย”
และเขาก็เอ่ยเรียกชื่อของเธอในขณะที่เริ่มเดินเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ