เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 109.1
“ฮู่ว…”
เฟเรสเดินออกมารับลมด้านนอกระเบียง เสียงถอนหายใจที่กักเก็บไว้เสียนานดังออกจากปาก
ถึงแม้เขาเองก็จงใจทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่พวกคุณหนูทั้งหลายที่เข้ามาขอเต้นรำด้วย หรือพวกชนชั้นสูงที่เอาแต่ชวนเขาคุยไม่หยุดพวกนั้น ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมากจริงๆ
เฟเรสยืนกอดอกพิงราวระเบียงด้านนอก
เพราะเจ้าของสายตาที่เอาแต่มองตามไล่หลังเขาจนน่ารำคาญได้เดินตามหลังเขาออกมาที่ระเบียงตรงมุมนี้ด้วยเสียแล้ว
“เลือกสหายได้ดี ดีสุดๆ เลยสินะ เจ้าน่ะ”
คนที่พูดจาเย้ยหยันเขาคืออาสทาน่าที่มีใบหน้าแดงก่ำเพราะเมาเหล้า
เฟเรสมองเหยียดอาสทาน่าที่ทำตัวเช่นนั้นด้วยแววตาดูถูก
ทันใดนั้นอาสทาน่าก็โมโหตะโกนเสียงแข็งจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนลำคอ
“เจ้า! คนอย่างเจ้ากล้าดียังไงมองข้าด้วยนัยน์ตาเช่นนั้น”
และพยายามเอื้อมมือไปกระชากเฟเรส แต่กลับพลาดอย่างแรง
เรื่องที่ต่อให้สติเป็นปกติดียังทำไม่ได้ อาสทาน่าที่ตัวโงนเงนไปมาจากฤทธิ์เหล้ายิ่งไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
“อ๊ะ!”
อาสทาน่าเสียการทรงตัวจนเกือบจะร่วงตกจากราวระเบียง เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่ด้วยความตกใจ
แต่เพียงไม่นานก็ตระหนักได้ว่าเฟเรสกำลังมองตนอยู่ จึงชี้หน้าอีกฝ่าย ตะโกนเสียงดัง
“ตอนที่ยังสุขได้ก็สุขให้พอเถอะ! ต่อไปแม้แต่ฝันเจ้าก็ไม่อาจมีความสุขได้ ไอ้ชั้นต่ำ!”
คิ้วเข้มของเฟเรสกระตุก
ไม่ใช่เพราะคำว่า ‘ชั้นต่ำ’ ที่ดังกระแทกหู
คำพูดพวกนั้น ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรมันแล้ว
“ตอนที่ยังสุขได้ ก็สุขให้พองั้นหรือ”
ปฏิกิริยาของเฟเรสทำให้อาสทาน่ายิ่งรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจกับชัยชนะ
“ตอนนี้ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียยังเด็ก เจ้าถึงได้ใช้เหตุผลเรื่องที่เป็นสหาย แสร้งทำตัวสนิทสนมตามเกาะติดนางไปทั่วได้ แต่ถ้าหากอายุมากขึ้นละก็ มันคงจะยากแล้วละมั้ง”
“…”
เฟเรสไม่ตอบอะไร แต่อาสทาน่ากลับยิ้มหยันราวกับล่วงรู้ความคิดทุกอย่าง
“อย่างน้อยนางก็เป็นบุตรสาวของแคลอฮัน ลอมบาร์เดีย ถึงแม้จะมีสายเลือดชั้นต่ำของมารดาผสมอยู่ด้วยก็เถอะ”
พูดจาราวกับประเมินค่าสุนัขตัวหนึ่ง
“หากเป็นเงินทองของท่านชายแคลอฮันแล้วละก็ ต่อให้ใช้ฟุ่มเฟือยแค่ไหน ก็ยังมีเหลือให้ใช้มากโข ต่างจากเจ้าที่ต่อให้หายตัวไปตอนนี้ ก็ไม่มีใครตามหา”
ปากของเฟเรสเปิดออกราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ก็ปิดลงอีกครั้ง
เพราะเขาไม่มีอะไรจะพูด
ต่อให้โมโหแค่ไหน แต่คำพูดที่อาสทาน่าพูดเสียดสีเขาพวกนั้น ทั้งหมดเป็นความจริง
มันเป็นความกังวลอย่างหนึ่งที่เฟเรสเอาแต่ครุ่นคิดอยู่ในหัวสมองอยู่เรื่อย ตั้งแต่วันที่รูลลัก ลอมบาร์เดียแวะมาหาเขาที่วังโฟอิรัคเมื่อวันก่อน
“เจ้าไม่คู่ควรที่จะยืนข้างกายฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียหรอก”
กรอด
สุดท้ายเฟเรสก็ได้แต่กัดฟันแน่น
“ถ้าเป็นข้าก็อีกเรื่อง”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสจ้องอาสทาน่าเขม็งราวกับจะแผดเผาให้ตาย
และเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว ทีละก้าว
“อะ อะไรกัน”
ในตอนนั้นเองอาสทาน่าที่เอาแต่พูดจาเย้ยหยันเฟเรส ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ถึงความจริงที่ว่า เฟเรสเป็นคนมีความสามารถมากขนาดดึงออร่าออกมาใช้ได้ จึงรีบก้าวเท้าถอยไปข้างหลังทันที
จนกระทั่งสุดท้ายอาสทาน่าถูกผลักจนขาไปชิดติดกับราวระเบียง เฟเรสถึงได้พูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผิดแล้ว”
“อะ อะไร”
“ข้าบอกว่าผิดแล้ว”
และหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟเรสก็คิดคำพูดที่เหมาะสมออก
“ไอ้คนนิสัยเหมือนเบเลซัก”
มันเป็นคำด่ารุนแรงที่เทียชอบใช้เป็นประจำ
“อะ ไอ้ชั้นต่ำ นี่เจ้าว่าอะไรนะ”
เฟเรสหลุบตามองขาที่สั่นระริกของอาสทาน่าเป็นการเยาะเย้ย แล้วจึงค่อยหันหลังหมุนตัวกลับ
“เจ้าต่างหากล่ะ เวลาที่ยังสุขได้ ก็สุขให้พอ”
เฟเรสทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโถงงานเลี้ยงอีกครั้ง
* * *
“หมอนั่นไปไหนเนี่ย คงไม่ใช่ว่ากลับไปแล้วหรอกนะ”
หลังจากพร่ำปลอบท่านพ่อกับท่านปู่เสร็จ เธอก็เดินตามหาเฟเรสทั่วงาน แต่กลับไม่เห็นเขาแม้แต่ปลายจมูก
กำลังหันไปมองรอบๆ แต่แล้วสายตาก็พบเข้ากับเด็กผู้ชายวัยประมาณสิบกลางๆ เจ้าของผิวที่คล้ำเล็กน้อย กับเรือนผมสีบลอนด์แพลทินัมเข้า
“ขออภัยครับพอดีไม่ค่อยอยากเต้นรำเท่าไหร่น่ะครับ”
มันเป็นวิธีการพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ถือว่าค่อนข้างหยาบคายอยู่มาก เมื่อเทียบกับธรรมเนียมประเพณีมารยาทแบบเมืองหลวง
“ตะ ตายแล้ว! พูดจาไร้มารยาทเช่นนั้นได้ยังไง…”
นั่นไงล่ะ
คุณหนูคนที่เดินเข้าไปขอเขาเต้นรำหมุนตัวเดินจากไปด้วยความไม่พอใจอย่างรุนแรง
“ฮู่ว…”
เด็กผู้ชายคนนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหมือนเขาจะลำบากใจพอควร แต่พอหมุนตัวกลับมา ก็ดันชนเข้ากับเธอที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาเข้า
“อ๊ะ! ขออภัยครับ! พอดีข้าไม่มีสมาธิเท่าไหร่… เป็นอะไรหรือเปล่าครับ คุณหนู”
เด็กชายช่วยจับไหล่พยุงตัวเธอ ดูเหมือนเขาจะรู้สึกผิดมากจริงๆ ถึงแม้เธอจะไม่ได้ล้มจนตัวเปรอะเปื้อนอะไร แต่เขาก็ยังยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งให้เธอ
“ไม่เป็นไรค่ะ คงเป็นเพราะเมืองหลวงต่างจากตะวันออกมาก เลยตั้งสติไม่ค่อยได้ใช่มั้ยคะเนี่ย”
พอเธอพูดแบบนั้นในขณะที่ส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้เขา นัยน์ตาของเด็กผู้ชายก็เบิกกว้าง
“ทราบได้ยังไงครับ ว่าข้ามาจากตะวันออก”
“อืม มองจากสีผิวของคุณชาย กับวิธีที่ใช้ปฏิเสธไม่เต้นรำเมื่อครู่ก็ทราบได้แล้วละค่ะ ได้ยินว่าทางตะวันออกมีวัฒนธรรมที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย”
ในสังคมชั้นสูงของเมืองหลวง ไม่มีใครเขาใช้คำพูดแบบนั้นกันหรอก
“ว้าว น่าทึ่งจริงๆ เลยครับ!”
เด็กผู้ชายกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะยิ้มกว้าง
ผมบลอนด์เงางามส่องประกายระยิบระยับยามต้องแสงจากโคมไฟในงาน นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนและรอยยิ้มสดใสนั่น พอรวมตัวกันแล้วมันให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
ต้องบอกว่า เขาเหมือนกับพระอาทิตย์ที่ส่องประกายเจิดจรัสละมั้ง
เธอได้แต่เหม่อมองใบหน้ายิ้มแย้มนั่น แต่จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมาหาเธอในขณะที่พูดขึ้น
“ยินดีที่ได้พบกันครั้งแรกครับ อาบีน็อกซ์ รูมันครับ”
อ้อ บุตรชายของเจ้าตระกูลรูมันที่เพิ่งได้รับตำแหน่งเจ้าตระกูลทั้งๆ ที่ยังหนุ่มยังแน่นนี่เอง
เธอยื่นมือไปจับมือของอาบีน็อกซ์เป็นการทักทาย แล้วพูดแนะนำตัว
“ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ”
“อ๊ะ! คุณหนูลอมบาร์เดียนี่เองครับ!”
ตามคาด อาบีน็อกซ์เองก็รู้ว่าเธอเป็นใครในทันที
“ยินดีที่ได้พบนะครับ คุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย! ”
ไม่มีสีหน้าประจบประแจงหรือแสร้งพยายามทำตัวให้ดูดีแต่อย่างใด
ดูซื่อตรง เหมาะสม
เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้ เธอถึงได้รู้สึกว่าเขา ‘เหมือนพระอาทิตย์’
ในตอนนั้นเองก็พลันเห็นเฟเรสที่เพิ่งเดินกลับเข้ามาจากระเบียงด้านนอกพอดี
“เฟเรส! ทางนี้!”
พอได้ยินเสียงเธอตะโกน เฟเรสก็หันมามองพวกเรา
แต่ไม่รู้ทำไมสีหน้าของเฟเรสถึงได้ดูไม่เหมือนปกติเอาเสียเลย
จังหวะเก้าเดินยามเดินตรงเข้ามาหาโดยมองเธอเพียงแค่คนเดียวนั้นก็ดูเร็วกว่าปกติหลายเท่าเสียด้วย
“เทีย”
“ไปไหนมาเนี่ย”
“ไปรับลมมาครู่หนึ่งน่ะ”
“อะไรกัน ข้าไม่รู้เรื่องเลยเอาแต่ตามหาเจ้าตั้งนาน”
“…ตามหาข้า?”
ใบหน้าของเฟเรสพลันดูดีใจขึ้นมาแปลกๆ
“ก็ต้องตามหาสิ จะไม่หาได้หรือไง”
เด็กนี่ เรื่องนี้มันก็แน่นอนอยู่แล้วสิ
แต่ในระหว่างที่เธอกำลังสนทนากับเฟเรส ก็รู้สึกได้ว่าอาบีน็อกซ์กำลังมองเฟเรสด้วยนัยน์ตาร้อนแรง
“อ๊ะ ด้านนี้คือ…”
“อาบีน็อกซ์ รูมันพ่ะย่ะค่ะเจ้าชายลำดับที่สอง! ”
อาบีน็อกซ์ดูกระตือรือร้นมาก นัยน์ตาก็เหมือนมีเลเซอร์ส่องออกมา
มือที่ไขว้อยู่ข้างหลังนั่น เหมือนกับกำลังถือแท่งไฟเขย่าเชียร์เลย
แต่คำพูดเหนือความคาดหมายกลับดังออกมาจากปากเฟเรส
“อ้อ บุตรชายของท่านชายอินดีท รูมันที่เพิ่งรับตำแหน่งเจ้าตระกูล…”
ดูเหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่า ล่าสุดมานี่ตำแหน่งเจ้าตระกูลของตระกูลรูมันทางตะวันออกได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
อา ก็เขาเป็นเด็กที่ฉลาดสุดๆ ไปเลยนี่นะ
เพราะความสามารถด้านการฟันดาบกับรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ทำเอาเธอเผลอมองข้ามไปอยู่เรื่อยเลยว่าเฟเรสเป็นคนที่มีมันสมองเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก
“ระ รู้จักข้าด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
คนที่เขารู้จักจริงๆ คือเจ้าตระกูลรูมัน ผู้เป็นบิดาของเด็กนี่ต่างหากล่ะ แต่เฟเรสก็พยักหน้าลง
“อ่า ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะหลังจากทราบว่าพระองค์สามารถสร้างออร่าได้ ทั้งๆ ที่อายุยังน้อยอยู่เลย กระหม่อมก็อยากจะพบพระองค์ให้ได้สักครั้งพ่ะย่ะค่ะ! ”
ดูเหมือนว่าอาบีน็อกซ์จะเป็นแฟนคลับของเฟเรสสินะเนี่ย
“อื้อ…”
เฟเรสดูจะลำบากใจกับสถานการณ์ตรงหน้าไม่น้อย
คงเป็นเพราะเขาไม่เคยได้พบชนชั้นสูงคนไหนที่แสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างเปิดเผยแบบนี้มาก่อน
สำหรับเธอที่ยังคงจดจำภาพของเฟเรสที่ทำให้ชนชั้นสูงทั่วอาณาจักร กลายเป็นพวกเดียวกับตัวเองในชีวิตก่อนแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่แปลกพิกล