เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 87.2
โต๊ะและเก้าอี้ถูกจัดวางเพิ่มเข้ามาในบริเวณที่เธอกับเฟเรสนั่งอยู่กลายเป็นที่นั่งที่ทั้งน่ากระอักกระอ่วน ทั้งยังน่าอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
อาสทาน่ากับเฟเรสที่นั่งตรงข้ามกันต่างไม่แม้แต่จะเหลือบตามองกันและกัน ส่วนจักรพรรดิเองก็ไม่แม้แต่จะสนใจบรรยากาศน่าอึดอัดนั่น พระองค์เอาแต่นั่งดื่มชาด้วยท่าทางผ่อนคลายเสียเต็มประดา
ขอแค่ตัวเองสบายใจก็พอ ไม่คิดสนใจว่าคนอื่นจะเป็นเช่นไร
ช่างเป็นจักรพรรดิที่น่ารังเกียจเสียจริง
และเธอก็สบตากับอาสทาน่าอีกครั้ง
หมอนั่นทำไมถึงได้เอาแต่มองเธอแบบนั้นอยู่เรื่อยเนี่ย
เป็นเวลาน้ำชาที่น่าอึดอัดชะมัด
เฮ้อ อยากรีบกลับบ้านชะมัด
จักรพรรดิถามเธอที่กำลังเสียใจว่ารู้แบบนี้น่าจะอยู่แต่ในวังโฟอิรัคตั้งแต่แรก ไม่น่าออกมาข้างนอกนี่เลย
“ตอนนี้แคลอฮันก็กลับมาแข็งแรงดีแล้วใช่มั้ย”
“เพคะ โล่งอกที่ยาได้ผล ตอนนี้ก็กำลังฟื้นตัวได้อย่างดีโดยไม่มีอาการข้างเคียงเพคะ”
“เรื่องนั้นช่างน่าโล่งใจจริงๆ นะคะ”
จักรพรรดินีเองก็ร่วมวงสนทนาด้วย
โล่งใจบ้าอะไรล่ะ
ตัวเองคิดที่จะแย่งชิงกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปของท่านพ่อไปแท้ๆ
“แล้วก็เจ้าชายลำดับที่สอง”
จักรพรรดินีกล่าวเรียกเฟเรส
“…พ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี”
ทันทีที่เฟเรสตอบอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางก็พูดพร้อมกับยกยิ้มเย่อหยิ่ง
“ต่อไปต้อนรับแขกที่วังโฟอิรัคน่าจะดีกว่านะคะ อย่างไรที่นั่นก็เป็นพื้นที่ของเจ้าชายลำดับที่สองไม่ใช่หรือคะ”
พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าเที่ยวออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอก จงอยู่แต่ในวังโฟอิรัคเสีย
ไม่สิ ทำไมล่ะ
เจ้ากับอาสทาน่ายังออกมาเดินเล่นได้ปกติเลยนะ
ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะนั่งดื่มชาอยู่เงียบๆ แล้วจากไปโดยไม่พูดมากแล้วแท้ๆ
เธอตอบแทนเฟเรส
“เป็นความผิดของข้าเองเพคะ องค์จักรพรรดินี”
ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะแสร้งทำหน้าราวกับจะร้องไห้ไปด้วย
“ข้าอยากเห็นสวนนี่ก็เลยรบเร้าเจ้าชายลำดับที่สองเพคะ ขอพระองค์ทรงตำหนิหม่อมฉันแทนเถอะเพคะ”
จักรพรรดินีตื่นตกใจไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกระแอมไอ
“อะแฮ่ม เอาเถอะ ถ้าคุณหนูลอมบาร์เดียกล่าวเช่นนั้น ครั้งนี้ข้าจะยอมหลับตา…”
“ได้ยินว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ที่แขกผู้มาเยี่ยมพระราชวังสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ เป็นความผิดของข้าเองเพคะที่เข้าใจผิดเสียได้…ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท”
เธอเล็งลูกศรเปลี่ยนเป้าหมายไปยังองค์จักรพรรดิแทนในทันที
อันที่จริงทุกคนต่างก็ทราบกันทั้งนั้นว่าสวนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานได้อย่างอิสระ
ตอนนี้จักรพรรดินีกำลังเรียกร้องในสิ่งที่ไม่สมควร
ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่องค์จักรพรรดิจะพูดออกมาย่อมถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว
“…เจ้าไม่ได้รู้มาผิดหรอก สวนแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ทุกคนสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระจริงๆ”
“จริงหรือเพคะ ถ้าอย่างนั้นทุกครั้งที่มายังพระราชวัง ข้าขอแวะมาเที่ยวชมบ้างเป็นครั้งคราวได้มั้ยเพคะ ฝ่าบาท”
จักรพรรดิเหลือบมองจักรพรรดินี ก่อนจะพยักหน้าลงอย่างเชื่องช้า
“ว้าว ดีใจจังเลยเพคะ!”
ในเมื่อจักรพรรดิบอกว่าไม่มีปัญหา จักรพรรดินีก็ไม่สามารถพูดโต้แย้งอะไรได้อีก
เธอจงใจยิ้มอย่างใสซื่อในขณะที่พูดกับเฟเรส
“โล่งอกไปทีเนอะเพคะ ต่อไปก็สามารถมาเที่ยวชมสวนนี่ได้แล้ว ว่ามั้ยเพคะเจ้าชาย”
เธอแอบเตะเท้าเฟเรสใต้โต๊ะ
“อะ…อืม จริงด้วย”
โล่งอกที่เฟเรสรับบทได้ทัน
“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท!”
เธอผลักไสจักรพรรดินีออกจากวงสนทนา เอาแต่ยกยิ้มให้องค์จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว
องค์จักรพรรดิจ้องหน้าเธอ ก่อนจะพูดด้วยเสียงเจ้าเล่ห์
“นี่สินะเขาถึงได้บอกกันว่ามีบุตรสาวย่อมแตกต่าง ฟีเรนเทีย เจ้าไม่มาเป็นธิดาของข้าหรือเป็นธิดาของข้าย่อมมีเรื่องน่าสนุกมากกว่าเป็นบุตรสาวของแคลอฮันนะ”
พูดเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เลยว่าช่วงนี้เธอใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานเพียงไหน เมื่อได้ครอบครองทั้งร้านค้าเพลเลส ทั้งเหมืองแร่
น่าสมเพชเล็กน้อย แต่เธอก็ต้องจงใจส่งเสียงร้อง ‘กรี๊ด’ หัวเราะชอบใจ แล้วตอบกลับไปอย่างคล่องแคล่ว
“หม่อมฉันไม่ทราบหรอกเพคะว่าท่านพ่อจะคิดเช่นไร แต่หากเป็นเช่นนั้นฝ่าบาทอาจจะต้องทะเลาะกับท่านปู่ก็ได้ จะไม่เป็นอะไรหรือเพคะ ท่านปู่หลงหม่อมฉันมากสุดๆ เลยนะเพคะ!”
“ว่ายังไงนะ”
ปฏิกิริยาใจกล้าของเธอทำให้องค์จักรพรรดิแปลกใจ ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดเสียจริง! ”
แต่แล้วในชั่วพริบตา เสียงหัวเราะนั่นก็เริ่มแผ่วลง
“นั่นสิ มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าได้ความรักจากเจ้าตระกูลมากเพียงใด เพชรเม็ดงามขนาดนั้น”
สายตาของจักรพรรดิจับจ้องอยู่ที่ศีรษะของเธออย่างหลงใหลราวกับต้องมนตร์สะกด
พูดให้ถูกก็คือ กิ๊บติดผมของเธอ
เพชรเม็ดโตขนาดเท่านิ้วโป้ง รอบๆ เพชรเม็ดนั้นยังล้อมประดับไปด้วยเพชรเม็ดเล็กหลายเม็ด
“เห็นว่าช่วงนี้ความนิยมของเพชรสูงเทียมฟ้า แม้กระทั่งเม็ดเล็กๆ ก็ยังหาชมยากทีเดียว เล่นซื้อกิ๊บติดผมเช่นนี้ให้หลานสาว ความรักที่มีให้เจ้าช่างยิ่งใหญ่จริงๆ”
ถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่สายตาของจักรพรรดิก็ยังคงไม่ละห่างไปจากกิ๊บติดผมของเธอ
ช่างโลภมากเสียจริง
ทั้งๆ ที่ตอนเปิดกิจการร้านเพชร เธอก็ได้ถวายเพชรเม็ดที่ใหญ่กว่านี้ถึงสองเท่าให้ในทันทีแล้วแท้ๆ
แถมจักรพรรดิยังแอบสั่งคนให้มาซื้อต่างหูกับสร้อยคอไปอีกตั้งหลายชุดเสียด้วย
ในเมื่อเธอเป็นคนอนุมัติให้เครย์ลีบันเองกับมือ เธอย่อมรู้เรื่องนี้ดี
ขนาดถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะเจ้าชายผู้ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ จนกระทั่งกลายเป็นองค์จักรพรรดิ ก็ยังโลภมากถึงเพียงนี้
ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งในด้านนี้จริงๆ
ฟีเรนเทียยกมือขึ้นลูบกิ๊บติดผมขณะพูดขึ้น
“น่าอายนัก แต่กิ๊บติดผมนี่ ไม่ใช่ของขวัญที่ได้รับจากท่านปู่หรอกเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นแคลอฮันหรือ”
“เปล่าเพคะ ได้รับจากท่านอาจารย์เพคะ ฝ่าบาท”
“ท่านอาจารย์?”
โยบาเนสเอียงคอด้วยความงุนงง
“เพคะ เครย์ลีบัน เพลเลส เจ้าของกิจการร้านค้าเพลเลส เป็นอาจารย์ของหม่อมฉันเพคะ”
“โอ้ เครย์ลีบัน เพลเลสหรือ”
โยบาเนสตกใจจากใจจริง เพราะนี่เป็นเรื่องที่พระองค์ไม่เคยทราบมาก่อน
“หมายความว่าออกจากตระกูลลอมบาร์เดียไปแล้ว ก็ยังคอยสอนหนังสือให้เจ้าอยู่อย่างนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะเป็นลูกศิษย์คนสำคัญจริงๆ สินะเนี่ย ขนาดยุ่งถึงเพียงนั้นก็ยังคอยดูแลเอาใจใส่กันแบบนี้! ”
“เพราะท่านอาจารย์คอยช่วยเหลือ จึงได้เรียนรู้อะไรมากมายจากข้างกายท่านเพคะ”
“อืม แบบนั้นแหละถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่เยี่ยมที่สุด”
เธอรู้สึกได้ในทันทีว่าแววตาของจักรพรรดิยามมองเธอเปลี่ยนแปลงไปแต่แล้วอาสทาน่าที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาก็ก่อเรื่องขึ้นจนได้
“นี่อะไรน่ะ”
เจ้านั่นคว้าเอากล่องเข็มกลัดที่เฟเรสวางไว้ข้างกายไปถือไว้ในมือเสียแล้ว