เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 89.2
“เพราะฉะนั้นอยากพูดอะไรกันแน่ครับ ชานาเนส”
“ทำไมถึงได้มั่นใจขนาดนั้นล่ะคะเวสติน”
ชานาเนสส่ายศีรษะไปมา
“ที่ผ่านมาคุณยักยอกเงินทองไปจากลอมบาร์เดียเยอะทีเดียว และข้าก็ได้รู้เรื่องที่ว่านั้นแล้ว แต่นี่คุณยัง…”
“ทั้งหมดก็เพื่อพวกเราทั้งนั้นนะครับ”
“เพื่อ…พวกเราอย่างนั้นเหรอคะ”
เวสตินแสร้งทำหน้าเศร้า
ชานาเนสเป็นพวกใจอ่อนเพราะฉะนั้นเขาถึงได้ตั้งใจใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์
“ชานาเนส ข้ารักเจ้ามากจริงๆ ข้าแต่งงานกับเจ้าโดยยอมรับความน่าอับอายที่ไม่อาจมอบชื่อตระกูลต่อให้บุตรชายได้”
ถึงแม้จะโดนจับได้ว่าที่ผ่านมาเขาขโมยเงินของลอมบาร์เดีย แต่ยังมีเหตุผลอื่นให้เขาสามารถหลุดพ้นข้อกล่าวหาเหล่านี้ได้อยู่
“แต่คนของตระกูลเจ้ากลับเอาแต่เมินเฉยข้าอยู่เรื่อย รวมถึงตระกูลชูลส์ด้วยน่ะสิ”
คนที่เมินเฉยเวสตินกับตระกูลชูลส์ หลักๆ ก็คือเบเจอร์กับลอเรนซ์
แต่คนที่เข้ามาสนิทสนมใกล้ชิดที่สุดในตอนสุดท้ายกลับกลายเป็นสองคนนั่น
ทว่าเวสตินเลือกที่จะโยนความจริงดังกล่าวทิ้งไป แล้วพูดต่อ
“เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ต้องทำแบบนั้น ข้าอยากจะทำให้ตระกูลชูลส์กลายเป็นตระกูลที่เหมาะสมกับลอมบาร์เดีย แม้จะแค่น้อยนิดก็ยังดีน่ะครับ”
“เพราะอย่างนั้นก็เลยยักยอกทรัพย์สินของลอมบาร์เดียเหรอคะ”
“คิดว่าข้ารู้สึกดีหรือครับที่ทำเรื่องพวกนั้นลงไป”
เวสตินยังคงเรียกร้องความสงสารจากชานาเนสต่อไป
“ก็มีเงินช่วยเหลือที่ลอมบาร์เดียมอบให้เพื่อสนับสนุนตระกูลชูลส์แล้วไม่ใช่เหรอคะ เงินเท่านั้นยังไม่พออีกเหรอคะ”
ทุกปีลอมบาร์เดียจะมอบเงินจำนวนหลายพันเหรียญทองให้เป็นการสนับสนุนตระกูลชูลส์ มันคือความเอาใจใส่ของรูลลักที่มีต่อตระกูลของบุตรเขย
เมื่อถูกแทงตรงจุด เวสตินก็ได้แต่ถอนหายใจ แสร้งทำเป็นอึดอัดใจ
“ใช่แล้วครับ เป็นความจริงที่ข้าแอบเอาเงินของลอมบาร์เดียให้ตระกูลชูลส์ แต่เงินแค่นั้นสำหรับลอมบาร์เดียแล้วมันไม่สำคัญเลยไม่ใช่หรือครับทั้งหมดนั่นข้าก็แค่พยายามทุ่มเทเพื่อหาวิธีให้พวกเราสามีภริยาได้มีความสุขกันก็เท่านั้นเอง”
มันไม่เกี่ยวหรอกไม่ว่ามันจะมากหรือน้อยแค่ไหน นั่นก็เป็นทรัพย์สินของลอมบาร์เดีย
มันไม่ใช่เงินที่เวสตินจะเที่ยวหยิบฉวยเอาไปให้ตระกูลของตัวเองได้ตามใจชอบแบบนั้น
ชานาเนสเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดีแต่นางไม่อาจพูดคำพูดพวกนั้นต่อหน้าเวสตินได้
ชานาเนสรักสามีของนางมากเกินกว่าจะทำเช่นนั้น
ประโยคที่อีกฝ่ายบอกว่า ‘ทั้งหมดก็เพื่อพวกเรา’ กลับทำให้ชานาเนสยิ่งรู้สึกเศร้าใจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
“การที่ไม่มีใครรู้เลยสักคนว่าเงินหายไปหลายปีแล้ว ก็เป็นหลักฐานชัดเจนอยู่แล้วนี่ครับ มันอาจจะเป็นเงินที่ไร้ความหมายสำหรับลอมบาร์เดีย แต่สำหรับชูลส์แล้วมันจำเป็นจริงๆ นะครับ”
ชานาเนสอยากร้องไห้เหลือเกิน
นางต้องยอมรับและทำความเข้าใจในอะไรหลายๆ เรื่อง ในเมื่อนางเกิดมาในฐานะลอมบาร์เดีย มันก็เป็นโชคชะตาที่นางไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อยู่แล้วแต่นี่มันเหมือนกับว่า แม้แต่สามีที่นางรักก็ยังต้องยอมเสียสละชาติกำเนิดของตัวเองเพื่อนางเลย
มันทำให้นางรู้สึกผิดอย่างหนัก
สุดท้ายชานาเนสจึงได้แต่ส่ายหน้าพลางพูด
“เรื่องนี้ข้าจะไม่แจ้งให้ท่านพ่อทราบก็แล้วกันค่ะ”
ว่าแล้วเชียว!
เวสตินแอบกู่ร้องตะโกนในใจด้วยความดีใจ
“แต่จะทำมากไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้วนะคะ ส่วนเงินที่ยักยอกไปให้ตระกูลชูลส์ตลอดเวลาที่ผ่านมา…ก็ถือเสียว่าตระกูลชูลส์ยืมมันไปจากลอมบาร์เดียก็แล้วกันค่ะ ต่อให้ต้องใช้เวลานานแค่ไหน ก็ต้องส่งทั้งหมดกลับคืนให้ลอมบาร์เดียด้วยนะคะ”
แน่นอนว่าเวสตินไม่คิดที่จะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
แต่เขาก็ยังพยักหน้าตอบรับอย่างแข็งขัน
ชานาเนสเดินออกไปจากห้องนอนด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในขณะที่พูดกับเวสตินเป็นครั้งสุดท้าย
“พวกเด็กๆ คิดถึงพ่อของพวกเขามาก ข้าทราบดีว่าท่านงานยุ่ง แต่ยังไงก็ช่วยโผล่หน้าไปให้สองแฝดเห็นบ้างเถอะนะคะ เวสติน”
ชานาเนสเดินออกไป ประตูห้องนอนถูกปิดลง
ใบหน้าของเวสตินที่ถูกทิ้งไว้ในห้องตามลำพังบิดเบี้ยวไม่น่ามองด้วยความโกรธ
“เย่อหยิ่งจนถึงที่สุดจริงๆ”
เขาเกลียดท่าทางหยิ่งยโส แสร้งทำตัวสง่าอยู่เสมอราวกับมีแต่ตัวเองที่อยู่เหนือคนอื่นนั่นเสียจริง
ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ยังคงรักษาใบหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้เหมือนไม่ใช่มนุษย์ น่าขนลุก!
ในตอนนั้นเอง สายตาของเวสตินก็พลันเห็นของสิ่งหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง
ของดูต่างหน้ามารดาที่ชานาเนสหวงแหนที่สุด
มันเป็นเพียงแค่สร้อยคอเรียบๆ ไม่มีอะไรพิเศษน่ารำคาญลูกตาเสียจนอยากจะกวาดมันทิ้งไปเสีย
“ไหนดูซิ ถ้าทำแบบนี้แล้วจะยังสงบแบบนั้นได้อยู่อีกหรือเปล่า”
เวสตินหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนจะหยิบเอาของสิ่งนั้นยัดใส่กระเป๋าตัวเอง
“วันนี้จะเล่นอะไรดีล่ะ”
“เรื่องนั้นน่ะ…เฮ้อ”
เจ้าเด็กแสนซนนี่
เครนีย์เป็นเด็กที่มีพละกำลังล้นเหลือไม่ว่าจะเล่นด้วยขนาดไหน ก็ไม่รู้จักเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว
ขนาดลาลาเน่เองยังถึงกับล้มป่วย เพราะหักโหมเล่นเป็นเพื่อนกับเครนีย์หนักเกินไป แต่จะปล่อยให้เครนีย์ร้องห่มร้องไห้เพราะโดนอาสทัลลีอูลากไปล่าสัตว์ก็ทำไม่ลง เธอเลยต้องพาตัวเขามาอย่างช่วยไม่ได้
เขาเป็นเด็กที่น่ารักมากขนาดช่วยรวบรวมเศษขนมปังเหลือทิ้งเพื่อที่จะเอาไปให้หนูที่อาศัยอยู่ในห้องครัวเพราะเห็นว่าพวกมันน่ารักเชียวนะ
พาเด็กตัวเล็กๆ ไปลานล่าสัตว์ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
“พวกเราไปอ่านหนังสือกันดีมั้ย หรือไปทำมงกุฎดอกไม้เหมือนเมื่อคราวก่อนดี”
“ไปหาสองแฝด”
วันนี้เป็นวันหยุด
พวกสองแฝดเองวันนี้ก็น่าจะไม่ได้ฝึกซ้อม แต่พักอยู่ที่บ้านกันละมั้ง
ในบรรดาคนที่เธอรู้จัก คนที่พอจะรับมือกับพละกำลังดั่งลูกม้าของเครนีย์ได้ก็มีแต่พวกนั้น
ถ้าพาตัวเครนีย์ไปโยนทิ้งไว้ให้สองคนนั่น พวกนั้นคงจะช่วยเล่นกับเขาได้อย่างสนุกสนานเลยทีเดียว
ฟีเรนเทียเดินไปเรื่อยตามทาง ฟังเสียงเครนีย์พูดเจื้อยแจ้วไปด้วยอยู่ข้างกาย เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้ๆ บ้านของคู่แฝดกันแล้ว
“ว่าแต่ทำไมบรรยากาศเป็นแบบนี้ล่ะ”
ประตูหน้าบ้านเปิดทิ้งไว้ บรรยากาศวุ่นวายชอบกล
“ได้ยังไงกัน…”
“ใครกัน…”
ได้ยินเสียงลูกจ้างหลายคนกระซิบกระซาบในขณะที่มองประตูที่เปิดทิ้งไว้
“เครนีย์ มานี่”
เธอจับมือเครนีย์ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง
“ขออภัยค่ะ ขออภัยค่ะ!”
“ข้าสมควรตายค่ะ! ”
สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงดังลั่นของใครบางคน
พอเดินเข้าไปด้านในห้องรับรอง ถึงได้เห็นข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งกำลังก้มศีรษะ ดูแล้วนางน่าจะเป็นเจ้าของเสียงเมื่อครู่
ทั้งสองคนเอาแต่ขอโทษเรื่องอะไรบางอย่างด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ขออภัยค่ะ ท่านชานาเนส!”
หนึ่งในนั้นคือหัวหน้าข้ารับใช้ผู้ดูแลรับผิดชอบคฤหาสน์หลัก
ส่วนชานาเนสที่ยืนรับคำขอโทษของข้ารับใช้อยู่ตรงนั้น นางยืนหันหลังให้กับข้ารับใช้สองคนนั่น เลยไม่มีใครเห็นใบหน้าของชานาเนส
หัวหน้าข้ารับใช้เงยหน้าขึ้นมองภาพด้านหลังของชานาเนสด้วยความสิ้นหวัง นางหลับตาแน่นอีกครั้ง ในขณะที่ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“สะ…สร้อยคอนั่น ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีใด ก็จะตามหาให้เจอค่ะ! ”