เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 90.2
แค่เฉพาะสัปดาห์นี้สัปดาห์เดียวฟีเรนเทียก็แวะมายังร้านขนมหวานคาราเมล อเวนิว เป็นครั้งที่สามแล้ว
วันนี้เป็นวันที่เครย์ลีบันนัดพบกับเวสตินอีกครั้ง ระหว่างที่รอเธอจึงตั้งใจแวะมากินของหวานแสนอร่อยเสียหน่อย
ฟีเรนเทียเชื่อว่าเครย์ลีบันจะต้องจัดการงานตามที่เธอสั่งได้ดีแน่นอน ฝีเท้าที่ย่างกรายเข้ามายังร้านขนมหวานจึงเบาโหยงไร้กังวล
เธอเลือกเค้กประมาณสองชิ้นขึ้นไปกินบนชั้นสอง ไม่ได้ซื้อกลับบ้านเฉยๆ เหมือนอย่างที่มักจะทำเป็นประจำในช่วงนี้
“อื้ม! อร่อยจัง!”
ใช้ส้อมตักเค้กชิ้นพูนขึ้นมายัดใส่ปากคำโต สัมผัสได้ถึงรสหอมหวานของเนื้อครีมอ่อนนุ่ม จนต้องกระทืบเท้าไปมาด้วยความปลื้มปริ่ม
เสียงแกรกดังขึ้นพร้อมกับจานใส่ขนมหวานอีกชิ้นถูกวางลงตรงหน้าเธอ เบ๊ต พนักงานร้านขนมฉีกยิ้มหวาน
“ดูเหมือนจะชอบเค้กของร้านเรามากจริงๆ นะครับเนี่ย”
“ก็มันอร่อยนี่คะ! อีกอย่างไม่รู้ทำไม พอมาที่นี่ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมาน่ะค่ะ”
“สบายใจหรือครับ”
“ค่ะ! อืม รู้สึกเหมือนได้มายังที่หลบภัยของข้าที่ไม่มีใครรู้จักละมั้ง”
คำพูดของเธอทำให้การเคลื่อนไหวของเบ๊ตหยุดชะงักในทันที ก่อนที่เขาจะหันมาจ้องหน้าเธอนิ่ง
นัยน์ตาสีอำพันน่าพิศวงคู่นั้นให้ความรู้สึกแปลกพิลึก เหมือนกำลังมองอัญมณีชนิดหนึ่งอยู่จริงๆ
“แค่พูดเฉยๆ น่ะค่ะ”
เธอหลบสายตาคู่นั้น ขณะเดียวกันก็รีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“วันนี้รบกวนช่วยห่อขนมหวานที่พวกผู้ใหญ่น่าจะชอบให้สองกล่องทีนะคะ จะเอาไปเป็นของขวัญน่ะค่ะ”
“ของหวานที่พวกผู้ใหญ่ชอบ…”
เธอตั้งใจจะเอาไปให้ชานาเนสที่มีสีหน้าหม่นหมองลงเป็นอย่างมากหลังจากสร้อยคอหายไป
“กล่องหนึ่งช่วยส่งไปที่ร้านค้าเพลเลสทีนะคะ”
ส่วนทางนี้เป็นของขวัญสำหรับไวโอเล็ตกับเครย์ลีบันที่ช่วงนี้ขยันทำงานกันอย่างหนัก
“ครับ ทราบแล้วครับ รอสักครู่นะครับ เดี๋ยวไปเอามาให้”
เบ๊ตพยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพ ก่อนที่จะเดินกลับลงไปชั้นล่าง
เมื่อได้อยู่ตามลำพังอีกครั้ง เธอก็ลองตักขนมหวานชิ้นใหม่ที่เบ๊ตเพิ่งเอามาวางให้เมื่อครู่ด้วยความเลื่อมใส
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“คุณหนูตลกจังเลยนะ! ”
กลุ่มสาวๆ ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของชั้นสองจู่ๆ ก็พลันระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
เธอไม่ได้รู้สึกไม่พอใจพวกเขา
แค่หันไปมองเพราะจู่ๆ ก็มีเสียงดังเกิดขึ้นเท่านั้น
แต่แล้วก็พลันสบตาเข้ากับหนึ่งในนั้น
มาเรีย แพทโทรนกำลังหัวเราะโดยใช้พัดบังใบหน้าจนเหลือให้เห็นแต่นัยน์ตา
“โอ๊ย ทำเอาหมดอร่อยเลยจริงๆ”
ความรู้สึกสุขใจเหมือนได้ลอยขึ้นสวรรค์จนถึงเมื่อครู่นี้ เพียงชั่วพริบตามันก็หายวับไปในทันที
ทำไมต้องมาเจอหน้าผู้หญิงคนนี้ที่นี่ด้วยเนี่ย
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น มาเรีย แพทโทรนยังกระซิบกระซาบอะไรกับคนรอบๆ อยู่หลายคำ แล้วลุกเดินตรงมาทางนี้อีกด้วย
“จะมาทำไมเนี่ย ไม่ต้องมานะ…”
“สวัสดีค่ะ คุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียใช่มั้ยคะ”
สุดท้ายก็มาชวนเธอคุยจนได้
“ค่ะ ใช่แล้วค่ะ”
แค่การที่เธออดกลั้นเอาไว้ได้ไม่ยื่นมือออกไปกระชากหัวผู้หญิงคนนี้ ปีนี้เธอก็สมควรจะได้รับรางวัลนักแสดงเด็กหน้าใหม่แล้วด้วยซ้ำ
เธอมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าชิงเลยละ
“คะ…ครั้งก่อนเคยพบกันที่งานเลี้ยงของร้านค้าเพลเลส…”
ปฏิกิริยาตอบรับอันแสนเย็นชาของเธอทำให้มาเรีย แพทโทรนตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามฝืนยิ้ม แสร้งทำเป็นสนิทสนมกับเธอ
“แล้วไงคะ”
“โฮะโฮะ สำหรับเด็กตัวเล็กๆ งานเลี้ยงในวันนั้นคงจะสนุกจนเพลินเลยสินะคะ ดูจากที่จำข้าไม่ได้…วันนั้นข้ายังไปทักทายท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียอยู่เลย…”
มาเรีย แพทโทรนจงใจพูดให้พวกคุณหนูคนอื่นที่เดินเข้ามาพร้อมกันได้ยิน นางยืดไหล่ขึ้นขณะที่พูด
“อ้อ เมื่อตอนนั้น…”
พอเห็นเธอทำท่าเหมือนจะนึกออก มาเรีย แพทโทรนก็ยกยิ้มด้วยสีหน้า ‘มันต้องอย่างนั้นสิ’
“ชนชั้นสูงปลายแถวที่ไม่รู้จักเจียมตัว แต่กลับเดินเข้ามาทักท่านปู่”
“หึ”
พวกสาวๆ ระเบิดหัวเราะเสียงดัง ทำเอาใบหน้าของมาเรีย แพทโทรนขึ้นสีแดงก่ำด้วยความอับอาย
โง่ชะมัด
นึกว่าจะไม่มีตามองแค่เรื่องผู้ชายเสียอีก แต่นี่ยังไม่รู้จักมองคนอื่นเขาเสียบ้าง
ทั้งๆ ที่มองแค่ปราดเดียวก็ควรจะรู้ได้แล้วว่าต่อให้เธอยังเด็กแค่ไหน ก็ไม่ใช่คนที่จะมาปฏิบัติตัวแบบโง่ๆ ใส่เช่นนี้ได้
คนที่มีไหวพริบย่ำแย่ขนาดนั้น เข้ามาอยู่ในสังคมชั้นสูงอันแสนโหดร้ายของเมืองหลวง มีแต่จะกลายเป็นตัวตลกให้คนเขาหัวเราะเยาะเปล่าๆ
พวกคุณหนูที่หัวเราะเยาะมาเรีย แพทโทรนเองก็เป็นชนชั้นสูงประเภทเดียวกันพอดีเสียด้วย
คนประเภทที่ชอบพาชนชั้นสูงปลายแถวจากแถบชนบทเตร็ดเตร่ไปทั่ว ให้กลายเป็นตัวตลกของผู้คนแต่แล้วในตอนที่เธอกวาดสายตาไล่มองมาเรีย แพทโทรนตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยความเย็นชาเป็นครั้งสุดท้าย
สายตาของเธอก็เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่ควรจะอยู่ที่นี่
มองผิดไปอย่างนั้นหรือ
ฟีเรนเทียกะพริบตาปริบๆ แต่ของสิ่งนั้นก็ยังไม่หายไป
“สร้อยเส้นนั้น…”
มันไม่ได้มีการประดับตกแต่งอะไรเป็นพิเศษ แต่สร้อยคอเส้นนี้มีแซปไฟร์เม็ดกลมซึ่งมีความบริสุทธิ์สูง ทั้งยังมีคัตติ้งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
นั่นมันสร้อยคอของชานาเนสชัดๆ