เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 92.1
“ท่านปู่! พ่อ!”
ฟีเรนเทียวิ่งเข้าไปทักทายท่านพ่อกับท่านปู่ด้วยความยินดี
เธอรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ทั้งสองท่านมีตารางแวะมาที่ร้านเพราะอย่างนั้นถึงได้ตั้งใจพาตัวมาเรีย แพทโทรนมาที่นี่
“ถ้าบอกก่อนล่วงหน้า พ่อกับท่านปู่ก็คงจะรีบมากันแล้ว…”
ท่านพ่อลูบหัวเธอพลางพูดขึ้น
“ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะมาหรอกค่ะ แต่พอดีมีเรื่องที่ทำให้จู่ๆ ต้องแวะมาน่ะค่ะ”
เธอพูดเช่นนั้นขณะเดียวกันก็เหลือบมองไปทางด้านหลัง เห็นมาเรีย แพทโทรนกับคุณหนูทั้งหลายต่างก็ตื่นตระหนกกันใหญ่
นี่คือแคลอฮัน ลอมบาร์เดียเจ้าของร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันที่มีสาขาอยู่ทั่วอาณาจักร กับรูลลัก ลอมบาร์เดียเชียวนะ
พวกนั้นกำลังกระซิบกระซาบพูดคุยกัน
ท่านพ่อเหลือบมองพวกนางในขณะที่ถามเธอ
“พวกนั้น…มาด้วยกันกับเทียเหรอ”
ช่วงอายุของพวกนางไม่ได้เหมาะจะเป็นเพื่อนเล่นกับเธอ ดังนั้นบนใบหน้าของท่านปู่กับท่านพ่อจึงมีแต่ความสงสัยปรากฏขึ้นตามธรรมชาติ
ในตอนนั้นเองมาเรีย แพทโทรนและคุณหนูทั้งหลายก็เดินเข้ามาใกล้อย่างระมัดระวัง
เธอชี้ไปที่มาเรีย แพทโทรนในขณะที่พูดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
“พอดีข้าทำน้ำผลไม้หกใส่ชุดของคุณหนูแพทโทรนน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยเชิญนางกับเพื่อนๆ มาเพื่อซื้อชุดตัวใหม่ให้ ได้ใช่มั้ยคะ พ่อ”
ท่านพ่อตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกวาดสายตามองสำรวจชุดของมาเรีย แพทโทรน แล้วพูดขึ้น
“แน่นอนสิ ได้แน่นอน ชุดเลอะหมด…”
คำพูดของท่านพ่อหยุดชะงักในทันที
สายตาของท่านพ่อจับจ้องไปที่สร้อยคอของมาเรีย แพทโทรน
นัยน์ตาสั่นไหวคู่นั้นเอาแต่เหม่อมองไปยังสร้อยคอเส้นนั้น สายตาคล้ายกับไม่แน่ใจว่าตัวเองเผลอมองผิดไปหรือเปล่า
“มันเป็นชุดตัวโปรดเลยรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไรค่ะ…”
ถึงแม้มาเรีย แพทโทรนจะพูดเช่นนั้น แต่ท่านพ่อก็ยังไม่อาจเปิดปากพูดอะไรออกมาได้
บางทีคงจะไม่มั่นใจนักเพราะสร้อยคอเส้นนั้นมันเป็นของของชานาเนส
แต่แล้วเมื่อมาเรีย แพทโทรนเอ่ยเช่นนั้นแล้วตั้งใจจะหมุนตัวเดินกลับไปยังมุมเดรสพรีเมียม
“เจ้าตรงนั้น”
ท่านปู่ก็เอ่ยรั้งมาเรีย แพทโทรนเอาไว้ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ไหนมาทางนี้หน่อยซิ”
สายตาของท่านปู่จับจ้องอยู่ที่ที่หนึ่งอย่างแม่นยำ
“ขอดูสร้อยคอที่เจ้าสวมอยู่หน่อย”
รูลลัก ลอมบาร์เดีย กวาดสายตามองคุณหนูวัยสาวตรงหน้า
เดรสที่นางสวมใส่อยู่เลอะเป็นรอยด่างจากน้ำผลไม้ แต่ท่าทางยามที่ยืนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยนั่น ช่างหยาบคายไร้มารยาทเหลือเกินแต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังหลบสายตาของเขา ไม่กล้ามองสบตาตรงๆ
นางกำลังหวาดกลัวรูลลัก
ถึงแม้จะแสร้งทำเป็นมั่นใจ แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้มีนิสัยใจกล้าถึงขนาดนั้น
เป็นคนทั่วไปที่พบเห็นได้ดาษดื่น
รูลลักพูดเสียงเย็นชา
“ได้ยินว่าหลานสาวข้าทำน้ำผลไม้หกใส่ชุดเจ้า”
“ค่ะ เกิดเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นขึ้นค่ะ”
“เรื่องนั้นข้าต้องขอโทษแทนด้วยก็แล้วกัน”
“มะ…ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ชดเชยด้วยเสื้อผ้าเช่นนี้ก็…”
รูลลักพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของมาเรีย แพทโทรน
“อืม โล่งอกไปทีนะ ถ้าอย่างนั้นจะช่วยตอบคำถามต่อไปของข้าตรงๆ ได้หรือไม่”
“คำถามอะไร…”
“เจ้าเป็นอะไรกับบุตรเขยของข้า”
“…คะ”
น้ำเสียงของมาเรีย แพทโทรนสั่นเครือ
ราวกับความลับที่เก็บซ่อนเอาไว้ถูกจับได้เสียแล้ว
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า ถือว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดชั่วครั้งชั่วคราวก็ได้”
“พะ…พูดเรื่องอะไร ข้าไม่ทราบ…”
“ลองคิดดูอีกครั้งดีมั้ย”
รูลลักจ้องหน้ามาเรีย แพทโทรนในขณะที่พูด
“ข้าถามว่าเจ้ามีความสัมพันธ์อะไรกับเวสติน ชูลส์บุตรเขยของข้า และเจ้าจะต้องให้คำตอบที่ดีกว่าข้ออ้างแก้ตัวโง่ๆ พวกนั้น”
“อึก…”
คราวนี้มาเรีย แพทโทรนถูกพลังของรูลลักกดทับจนขยับกายแทบไม่ได้
ร่างกายของนางสั่นเทา ปลายเท้าขยับไปมาอยากจะหนีออกไปจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้
แต่รูลลักไม่มีสีหน้าสงสารนางที่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ตั้งแต่วินาทีที่มาเรีย แพทโทรนเดินเข้ามาใกล้ รูลลักก็รู้ได้ในทันที
ความจริงที่ว่าสร้อยคอที่ผู้หญิงนางนี้สวมใส่ มันเป็นของชานาเนสบุตรสาวของตน
และสิ่งที่นึกถึงในลำดับถัดมาก็คือ เวสติน
พูดให้แน่ชัดคือ เขานึกถึงเรื่องที่ทั้งสองคนทักทายกันในงานเลี้ยงของร้านค้าเพลเลส อ้างว่าเป็นคนที่มาจากถิ่นฐานเดียวกัน
“สร้อยคอเส้นนั้นเป็นมรดกของดูต่างหน้าภริยาของข้า และตอนนี้มันก็เป็นของชานาเนสบุตรสาวคนโตของข้า”
“มะ…ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นหรอกค่ะ! คงจะมองผิดแล้วละค่ะ!”
รูลลักส่ายศีรษะไปมาเมื่อได้ยินคำตอบของมาเรีย แพทโทรน
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าคนที่ให้สร้อยคอเส้นนั้นกับเจ้าได้อธิบายเอาไว้ว่าอะไร แต่นั่นเป็นมรดกของภริยาข้าอย่างแน่นอน ด้านหลังของมันถูกสลักเอาไว้ด้วยชื่อย่อของนาตาเลีย ลอมบาร์เดีย”
มาเรีย แพทโทรนใช้มือสั่นเทาพลิกสร้อยคอดู
เป็นอย่างที่รูลลักกล่าวจริงๆ
มันมีชื่อย่อถูกสลักเอาไว้ มันเล็กมากเสียจนหากไม่ได้ตั้งใจมองให้ดีคงไม่ทันสังเกตเห็น
“หากยากนักข้าจะเลือกให้เอง เช่นนั้นก็เนรเทศเจ้าออกจากเมืองหลวง ด้วยข้อหาบุกรุกลอมบาร์เดีย ขโมยสร้อยคอเส้นนั้นก็แล้วกัน”
คำว่าเนรเทศทำให้หัวใจของมาเรีย แพทโทรนหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“หรือจะสารภาพความจริงว่ามีความสัมพันธ์อันใดกับเวสติน ชูลส์”
“ระ…เรื่องนั้น…”
มาเรีย แพทโทรนกัดริมฝีปากล่างแน่น
นางเคยได้ยินเวสตินพูดจาดูถูกรูลลัก ลอมบาร์เดียคนนี้ เรียกเขาว่า ‘ไอ้เฒ่า’ บ้าง ‘ไอ้แก่’ บ้างมาโดยตลอด
เพราะฉะนั้นมาเรีย แพทโทรนถึงได้ดูถูกเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียมาโดยตลอดเช่นกันว่าอีกฝ่ายคงเป็นแค่คนแก่โง่เขลาที่ไม่ได้รู้เรื่องอันใดเลย แม้กระทั่งนางกับเวสตินขโมยเงินไปที่ปลายจมูกเขาแบบนั้น
แต่มาเรีย แพทโทรนก็ตระหนักได้ถึงความโง่เขลาของตัวเองในทันที
รูลลัก ลอมบาร์เดียเป็นคนที่น่ากลัวมาก
แรงกดดันที่ทำให้นางหายใจแทบไม่ออกในตอนนี้ กำลังบอกนางเช่นนั้น
นี่นางทำเรื่องบ้าอะไรลงไปกัน
อีกฝ่ายเป็นถึงลอมบาร์เดียผู้มากอำนาจ
ต่อให้เสียใจขึ้นมาเอาป่านนี้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว
มาเรีย แพทโทรนหลับตาแน่น สั่นเทาไปทั้งร่าง
“ถ้าพูดที่นี่ลำบาก เช่นนั้นก็ตอบมาแค่อย่างเดียวก่อนก็ได้ คนที่มอบสร้อยคอเส้นนั้นให้เจ้า คือเวสติน ชูลส์ใช่หรือไม่”
มาเรีย แพทโทรนพยักหน้าลงอย่างช้าๆ ให้กับคำถามของรูลลัก
“แคลอฮัน”
รูลลัก ลอมบาร์เดียเอ่ยเรียกบุตรชายที่ยังคงทำหน้าบึ้งตึงด้วยความโมโห
“ดูแลเทียด้วย กลับไปที่คฤหาสน์กันเถอะ แน่นอนว่าเจ้าก็ตามมาด้วย”
ประโยคสุดท้ายทำให้มาเรีย แพทโทรนผวาเฮือก
“ขะ…ขออภัยค่ะ! ได้โปรดยกโทษ…”
รูลลักมองหญิงสาวตรงหน้าที่เอาแต่ก้มศีรษะด้วยความกลัว เขาพูดขึ้น
“หากเรื่องไม่แดงก็คงไม่คิดขอโทษหรอกใช่มั้ยล่ะ ตามมาในตอนที่ข้ายังพูดดีด้วยจะดีกว่า”
มาเรีย แพทโทรนใจแกว่ง นางหันกลับไปมองเหล่าคุณหนูที่มาด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย
แต่พวกนางพอจะประเมินสถานการณ์คร่าวๆ ได้จากบทสนทนาที่พูดคุยกัน จึงมองมาเรีย แพทโทรนด้วยความเหยียดหยาม
“ไปกันได้แล้ว”
รูลลักกล่าวเช่นนั้น ก่อนจะเดินนำออกไปจากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน
สุดท้ายมาเรีย แพทโทรนก็เดินตามออกไป นางได้แต่ขึ้นรถม้ามุ่งไปยังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้