เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 95.2
หลังปิดร้าน เบ๊ตกำลังนั่งรอเจ้าของตึกอยู่ในร้านคาราเมล อเวนิวที่ว่างเปล่าไร้ลูกค้า
หลังจากได้พบเจ้าของตึกที่จู่ๆ ก็โผล่มาขอยกเลิกสัญญาเช่าร้าน อีกฝ่ายก็เงียบเมินเฉยข้อเสนอของเบ๊ตที่บอกให้มาลองคุยกันใหม่
แต่แล้วในที่สุดเมื่อเช้าวันนี้เขาก็ได้คำตอบ
อีกฝ่ายติดต่อกลับมาว่าให้พบกันหลังปิดร้านวันนี้
เดิมทีหลังเวลาทำการของร้านคาราเมล อเวนิว เบ๊ตมีงานยุ่งมากยิ่งกว่าเวลาเปิดร้านเสียอีก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะยังไงเขาก็ต้องพบเจ้าของตึกเพื่อแก้ปัญหาเรื่องสัญญาให้ได้
“ใกล้ถึงเวลานัดแล้วสินะ”
เบ๊ตเหม่อมองประตูที่ยังคงไร้วี่แววของอีกฝ่ายในขณะที่พูดขึ้น
ในหัวสมองของเขาเริ่มนึกถึงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเจ้าของตึกคนนี้
‘โรเชลโรค็อกซ์ อายุสามสิบห้าปี โสด ตอนอายุยี่สิบสองปีก็โดนครอบครัวตัดขาด จึงต้องออกไปอาศัยอยู่นอกเมืองหลวง เดินทางกลับมาเพราะได้ยินข่าวการเสียชีวิตของบิดา’
จนถึงจุดนี้ถือว่าอีกฝ่ายมีพื้นเพที่ธรรมดามาก
ถึงแม้จะแปลกนิดหน่อยที่อายุสามสิบห้าปีแล้วยังไม่แต่งงาน ทั้งๆ ที่ในอาณาจักรแห่งนี้คนส่วนใหญ่จะแต่งงานกันช่วงอายุยี่สิบก็เถอะแต่ตอนที่เห็นนิสัยของชายคนนั้น เขาก็พอจะรู้เหตุผลได้ว่าทำไมถึงหาผู้หญิงมาแต่งงานด้วยไม่ได้
อีกอย่างข้อมูลที่เบ๊ตสืบมาได้ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้น
‘ติดหนี้การพนันสามร้อยเหรียญทอง’
นิสัยห่วยแตกพื้นฐานของพวกชนชั้นสูง
ที่สิบสามปีก่อนถูกตัดขาดจากตระกูล ที่จริงก็เป็นเพราะปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการพนันนี่เช่นกัน
และมันยังไม่หมดแค่นั้น
‘นักต้มตุ๋น ใช้ชื่อปลอมว่าเจฟ ริช หลอกลวงผู้คนอยู่ทางตอนเหนือ ตอนนี้กำลังถูกตามล่า’
ถึงกับใช้ชื่อปลอมเที่ยวหลอกลวงคนอื่นเขาไปทั่ว
เป็นคนชั่วร้ายจริงๆ
เมื่อตอนที่แวะมาหาที่ร้านของเขาก็เหมือนกัน
จากน้ำเสียงการพูดจาหรือพฤติกรรมที่อีกฝ่ายแสดงออก มันดูหยาบคายเกินกว่าจะเรียกว่าชนชั้นสูงได้
ดูเหมือนหลังจากถูกขับไล่ออกจากตระกูล ก็คงจะเที่ยวก่อเรื่องเลวทรามเอาไว้มากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
เขามั่นใจว่า ถ้าหากตามสืบลงไปให้ลึกกว่านี้ จะต้องเจอข้อมูลว่าฝ่ายนั้นยังมีชื่อปลอมชื่ออื่น และมีคดีอื่นรออยู่อีกมากแน่
แต่เรื่องที่สำคัญที่สุดคือเรื่องสุดท้ายนั่นต่างหากล่ะ
‘กำลังถูกตามล่า’
เหล่าชนชั้นสูงทางเหนือที่ถูกเจ้านั่นหลอกต่างกำลังโมโหเดือด
บางทีมันเองก็คงจะรู้เรื่องนั้นดี
เขาตั้งใจว่า ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็จะใช้ไพ่ตายนี่ข่มขู่มันเสีย
‘ขอโทษนะครับ ท่านลุงเจ้าของ’
นึกถึงเจ้าของตึกคนเก่าที่เสียชีวิตไปแล้ว เบ๊ตก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ยิ่งเพราะเขาคนนั้นเป็นคนที่ใจดีในทุกๆ เรื่อง ทั้งยังเห็นใจเบ๊ตเป็นอย่างมาก จึงยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีกแต่เขาก็ไม่อาจยอมปล่อยมือไปจากร้านนี้ได้อยู่ดี
ต่อให้ต้องใช้ข้อมูลพวกนั้นเป็นอาวุธ ก็ต้องปกป้องมันไว้ให้ได้
กริ๊ง
ได้ยินเสียงกระดิ่งที่ห้อยไว้ที่ประตูร้านดังขึ้นพร้อมกับประตูที่ถูกเปิดออก เบ๊ตจึงลุกขึ้นจากที่นั่งเพื่อต้อนรับอีกฝ่าย
“เชิญครับ กำลังรออยู่…”
“สวัสดีค่ะ! ” novel-lucky
เสียงที่ดังขึ้นต่างจากเสียงทุ้มหยาบกระด้างของเจ้าของตึกที่เขากำลังรอมันเป็นเสียงกระจ่างใสดังกังวานน่าฟัง
“ว้าว มาตอนกลางคืนแบบนี้ให้ความรู้สึกต่างไปเลยนะคะเนี่ย! คุณเบ๊ตเองก็ยิ่งดูหล่อกว่าเดิมด้วย!”
เด็กสาวที่กำลังหัวเราะเสียงดัง ‘แหะๆ ’ ตรงหน้านี่ เป็นใบหน้าที่เขาเองก็คุ้นเคยดี
เบ๊ตเอ่ยพึมพำชื่อเด็กสาวออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฟีเรนเทีย…ลอมบาร์เดีย?”
“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าเป็นเจ้าของตึกนี้แล้วละค่ะ”
เธอช่วยอธิบายให้เบ๊ตที่ทำหน้าสับสนเข้าใจอย่างใจดี
“เด็กน้อย เจ้า…ไม่สิ คุณหนูลอมบาร์เดียเป็นเจ้าของตึกนี่หรือครับ”
“ค่ะ! ข้าซื้อแล้วค่ะ ตึกนี่”
ว่าตามตรงถ้าพูดถึงเรื่องราคาแล้ว ถือเป็นการซื้อที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย แต่ช่างเถอะ
เพราะกิจการค้าเพชรเลยทำให้ค่าใช้จ่ายแค่นี้ไม่ถือเป็นเรื่องหนักมืออะไรนัก อีกอย่างหากคำนึงถึงอนาคต นี่ก็เป็นการลงทุนที่ถือว่ายอดเยี่ยมเหมือนกัน
“เมื่อคราวก่อนเห็นแล้วข้าคิดว่าสถานการณ์ดูลำบากน่ะค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยลองสืบดู คนที่พบเมื่อตอนนั้นกับสถานการณ์ของร้านคาราเมล อเวนิวอะไรเทือกนั้น”
“ตามสืบลับหลังอย่างนั้นหรือครับ”
“จะบอกว่าตามสืบมันก็…ข้าไม่อยากให้ร้านขนมประจำที่ข้าชอบต้องหายไปนี่คะ ครั้งก่อนก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าที่นี่เป็นเหมือนหลุมหลบภัยของข้าน่ะ”
หรืออีกอย่างก็คือ หลุมหลบภัยในอนาคตของเธอยังไงล่ะ
หุหุ
“เพราะงั้นก็เลยซื้อตึกนี่ต่อจากลุงคนนั้นน่ะค่ะ ตอนนี้ข้าเป็นเจ้าของแล้วนะคะ”
ว้าว วันที่เธอพูดแบบนี้ได้มาถึงแล้วเหรอเนี่ย!
เธอเป็นเจ้าของตึก!
ขนลุกชะมัด! เยี่ยมที่สุด!
“ก็ลุงคนนั้นบอกว่าจะเปิดร้านขนมต่อไปเรื่อยๆ นี่คะ”
ไหล่ของเบ๊ตสั่นเทาเล็กน้อย
บางทีเขาคงจะไม่รู้เรื่องนี้สินะ
“ไม่ละอายใจบ้างเลยจริงๆ คงคิดจะเปิดร้านขนมต่อไปโดยแสร้งทำเป็นร้านคาราเมล อเวนิวละมั้ง ทราบมั้ยคะว่าข้าซื้อตึกนี้ต้องเพิ่มเงินไปเท่าไหร่”
เธอถามเบ๊ตด้วยเสียงลับๆ ล่อๆ
“…ไม่ทราบสิครับ”
เธอกางนิ้วขึ้นสี่นิ้ว
“จ่ายไปสี่ร้อยเหรียญทองค่ะ”
มันเป็นยอดเงินที่มากกว่าราคาตลาดหลายเท่าตัว
“มีเหตุผลอะไรต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อซื้อตึกนี้หรือครับ”
“เมื่อครู่ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอคะ ไม่อยากให้ร้านประจำต้องหายไป”
“ไม่มีทางหรอกครับ คนอย่างพวกคุณจะใช้เหตุผลง่ายๆ แบบนั้น…”
“คนอย่างข้ามันทำไมเหรอคะ”
เบ๊ตที่เพิ่งเผลอหลุดพูดคำแบบนั้นออกมามีสีหน้าอยากจะร้องหาพระเจ้าอยู่ชั่วขณะ เมื่อเผลอทำเรื่องผิดพลาดลงไป แต่มันสายไปแล้ว
ว่าแล้วเชียว เขาเองก็ตามสืบเรื่องของเธอมาในระดับหนึ่งสินะ
“ข้าหมายถึง คุณหนูลอมบาร์เดีย…”
“รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้ามาใช่มั้ยล่ะคะ”
พอคำว่า ‘ข้อมูล’ ดังออกจากปากเธอ นัยน์ตาของเบ๊ตก็เปลี่ยนเป็นดุร้ายทันที
ไม่ใช่ผู้จัดการร้านคาราเมล อเวนิวที่มักจะอ่อนโยนใจดีอยู่เสมอ ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเบ๊ตบ้างแล้ว จึงยิ่งรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะข้าเองก็พอจะรู้เกี่ยวกับเบ๊ตอยู่บ้างเหมือนกัน”
เธอส่งยิ้มให้เบ๊ตที่ระแวดระวังเสียจนขนตั้งชัน เพื่อให้เขาคลายกังวลลง
ช่างแตกต่างจากเบ๊ตคนที่เธอได้พบหน้าในชีวิตก่อนมากพอควร
ตอนนั้นแม้แต่เธอที่มั่นใจว่าอ่านคนออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยังไม่อาจอ่านเขาออกได้แม้แต่นิดเดียว เขาเป็นคนที่หนักแน่น ทั้งยังเป็นพวกมือฉมังผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงเลยละ
เดิมทีร้านคาราเมล อเวนิวจะต้องหายไปในปีนี้ และจู่ๆ ก็เปิดร้านขึ้นใหม่ที่เดิมอีกครั้งหลังจากเวลาผ่านไปถึง 10 ปีและช่วงเวลานั้น เธอก็ได้แวะมายังร้านนี้ในฐานะลูกค้า
“สารภาพตามตรง”
เธอมองนัยน์ตาสีอำพันที่กำลังมองเธออยู่ ก่อนจะพูดขึ้น
“ข้าทราบอยู่แล้วค่ะ ว่าร้านคาราเมล อเวนิวไม่ใช่ร้านขนมหวานทั่วไป”
แท้จริงแล้ว ร้านคาราเมล อเวนิวคือกิลด์หรือแหล่งซื้อขายข้อมูลอย่างลับๆ
และหัวหน้าผู้นำกิลด์ที่ว่านั่นก็คืออีกตัวตนหนึ่งที่เบ๊ตเก็บซ่อนเอาไว้เป็นความลับนั่นเอง