เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 3 บทที่ 99.1
เธอรอสักพัก ก่อนจะลุกเดินออกไปข้างนอกอย่างผ่อนคลาย
พระอาทิตย์เคลื่อนคล้อย ท้องฟ้าถูกย้อมจนเป็นสีแดง
สัมภาระถูกขนลงจากรถม้าจนหมด หลังจากจัดการเก็บข้าวของเรียบร้อย ด้านนอกก็เงียบสงบ
เธอยกมือไขว้หลัง เดินเตร่ไปเรื่อยเหมือนแค่ออกมาเดินเล่น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าไปพลางเริ่มออกเดินตรงไปข้างหน้า มองเห็นนกกลุ่มหนึ่งบินผ่านไป
นกอพยพเริ่มย้ายถิ่นฐานกันแล้ว
ทุกปีนกเหล่านี้จะบินข้ามผ่านทวีปตามแต่ฤดูกาล พวกมันบินตลอดทั้งวัน และมักจะมาหยุดพักอยู่ที่คฤหาสน์ลอมบาร์เดียเพื่อฟื้นฟูร่างกายที่แสนจะเหนื่อยล้า
เพราะคนในเขตคฤหาสน์มีจำนวนน้อยมาก แต่จำนวนต้นไม้กลับมีมากพอสำหรับพวกมัน
“วันนี้พวกเจ้าก็แวะมาพักที่คฤหาสน์ ก่อนจะออกเดินทางเหมือนเดิมสินะ”
เธอมองเหล่านกน้อยที่ซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ในคฤหาสน์ไปพลาง หยิบเอาของในกระเป๋าออกมาถือไว้ในมือ
สิ่งที่เธอเตรียมไว้เป็นพิเศษเพื่อวันนี้โดยเฉพาะ นอนแน่นิ่งอยู่ในอุ้งมือ
“งั้นก็เตรียมการเสร็จเรียบร้อยแล้วสินะเนี่ย”
เธอตรวจเช็กให้แน่ใจว่าเบเลซักขนสัมภาระเข้าไปเก็บหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว
เธอก้าวเท้าสองจังหวะด้วยใจที่สนุกสนานมุ่งตรงไปยังคอกม้า
การแวะไปตรวจสอบอาการของม้าที่เจ้าตัวหวงแหนหลังกลับจากล่าสัตว์ เป็นนิสัยที่ติดตัวของเบเลซัก
เธอดักรอเบเลซักอยู่ตรงหัวมุมถนนที่เขามักจะเดินไปยังคอกม้า
บริเวณนั้นมีต้นไม้มาก ไร้ผู้คน
เป็นเส้นทางที่เหมาะเป็นอย่างยิ่ง
ไม่นานก็มองเห็นเบเลซักกำลังเดินตรงมา
แต่เจ้านั่นไม่ได้มาคนเดียวเนี่ยสิ
“ถือให้มันดีๆ หน่อยสิ! ลากพื้นหมดแล้วไม่ใช่หรือไง!”
“ฮือ…”
เบเลซักคำรามขู่อยู่ข้างกายเครนีย์ที่หอบหิ้วบางอย่างที่ดูหนักหน่วงเดินตามมา
พอลองสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่ามันคืออานม้านั่นเอง
แถมยังทำจากหนังสัตว์ เลยยิ่งหนักเข้าไปใหญ่
“นะ เหนื่อย…”
มันหนักเกินกว่าที่เครนีย์ซึ่งยังเด็กจะถือไหว
แต่ว่า
พลั่ก-!
เบเลซักตบศีรษะเล็กๆ ของเครนีย์อย่างแรง ก่อนจะพูดข่มขู่
“อยากโดนตีเพิ่มใช่มั้ย”
“…ปะ เปล่า ฮึก! ”
สุดท้ายเครนีย์ก็ระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาจนได้
และความอดทนของเธอก็ถึงที่สุดแล้วเช่นกัน
“เครนีย์”
เธอเดินออกมาจากหัวมุม ยืนขวางทั้งสองคนเอาไว้ แล้วพูดขึ้น
“โยนของที่ถืออยู่ทิ้ง แล้วไปซะ”
“ทะ เทีย…?”
เครนีย์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดหยาดน้ำตา
“เจ้านี่มันอะไรอีกเนี่ย”
เบเลซักจ้องเธอเขม็งด้วยใบหน้าบึ้งตึง
แล้วไง ใครสนล่ะ
เธอมองแต่เครนีย์นิ่งๆ
“อะ อื้อ!”
เครนีย์กัดริมฝีปากแน่นเพื่อรวบรวมความกล้า แล้วโยนอานม้าทิ้งไปข้างกายเบเลซัก
“เฮ้! เจ้านี่ บ้าไปแล้วหรือไง!”
เบเลซักโมโหเดือด แต่เครนีย์วิ่งหนีไปไกลแล้ว
“เบเลซัก นี่ปกติเจ้ากลั่นแกล้งเครนีย์มากขนาดไหนกันแน่”
ดูจากภาพเมื่อครู่แล้ว เธอสังหรณ์ใจว่าเรื่องที่เธอรู้มาทั้งหมดนั่นจะเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น
เบเลซักแสยะยิ้มให้เธอ ก่อนจะยิ้มเยาะ
“ทำไม หรือเจ้าจะทำแทนเด็กนั่น”
“เหอะ ไอ้เด็กเวรนี่…”
เห็นช่วงนี้เงียบไปบ้างแล้วก็นึกว่าจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้าง
ว่าแล้วเชียว เบเลซักไม่เปลี่ยนไปเลย
ก็แค่เปลี่ยนเป้าหมายในการกลั่นแกล้ง จากเธอไปเป็นเครนีย์เท่านั้นเอง
“ใช่แล้ว นังเลือดผสม งั้นเจ้าเป็นคนแบก”
เบเลซักใช้เท้าเตะอานม้าขณะที่พูดกับเธอ
“ฮู่ว เฮ้ เบเลซัก เจ้าไม่มีสมองหรือไง”
“อะ อะไรนะ”
“ข้าบอกชัดเจนแล้วใช่มั้ย ว่าอย่าเรียกข้าว่าเลือดผสม ไอ้โง่นี่”
“นะ นังเตี้ยนี่!”
เบเลซักเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มอย่างเต็มตัว เลยใช้โอกาสที่สภาพร่างกายตัวเองสูงใหญ่กว่าเธอ เจ้านั่นยกหมัดขึ้นเป็นการข่มขู่
เธอเชิดหน้าขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพูดกับเขา
“ก็ลองตีดูสิ ถ้าตีได้น่ะนะ”
“ฮึ่ย! ”
“เจ้าตีข้าไม่ได้หรอก เพราะถ้าตีข้าคงได้เกิดเรื่องใหญ่แน่ไงล่ะ ท่านปู่คงเป็นคนออกหน้าให้ข้าเป็นคนแรกเลยด้วยมั้ง และท่านพ่อของข้าตอนนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะเอาแต่ทนอยู่เฉยๆ แล้วด้วย”
คำพูดของเธอทำให้เบเลซักที่กำลังโมโหหอบแฮกๆ ครุ่นคิดหาวิธีทำร้ายเธอจากนั้นก็แสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย
“งั้นหรือ แต่ที่นี่ไม่มีทั้งท่านปู่ ทั้งท่านพ่อที่เจ้าภูมิใจนักหนาเลยสักคน ข้าลงมือแค่ไม่กี่ที เจ้าก็คงจะมีสภาพเละเทะดูไม่ได้ จนวิ่งโร่ไปฟ้องไม่ทันด้วยซ้ำละมั้ง”
นัยน์ตาของเบเลซักส่องประกายลุกโชน
เธอจำนัยน์ตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
ในชีวิตก่อนเวลาที่เจ้านั่นกลั่นแกล้งเธอ ทุกครั้งที่เขาลงมือตบตีเธอ ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทุกครั้งที่เธอกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ก็เป็นนัยน์ตาคู่นั้นและเสียงที่หัวเราะเยาะเธอด้วยความตื่นเต้นระคนดีใจ
ว่าแล้วเชียว มนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขกันได้ง่ายๆ
ในขณะที่แน่ใจแล้วว่า สัจธรรมบนโลกเป็นสิ่งที่ไม่แปรเปลี่ยน เธอก็ยัดมือล้วงลงในกระเป๋า
และกำของในนั้นไว้ในมือหนึ่งกำ โยนมันใส่ใบหน้าของเบเลซักที่เดินเข้ามาใกล้ก้าวหนึ่ง
“ว้าก! นะ นี่มันอะไรกัน!”
ทันทีที่เธอโปรยธัญพืชป่นจนคล้ายผงแป้งออกไป เบเลซักก็ตกใจไอเสียงดังค็อกแค็กแล้วเริ่มพูดจาด่าทอกระแนะกระแหนเธอต่อ
“เหอะ! กะอีแค่ของแบบนี้…ค็อก! แค่ผงแป้งบ้าๆ นี่! ”
หนวกหูชะมัด โดนไอ้นี่หน่อยเป็นไง
เธอปามันใส่หน้าเบเลซักโดยไม่ปล่อยให้เขาได้มีจังหวะพูดอะไรทั้งสิ้น
“ยะ หยุด…!”
เธอสาดผงที่เหลืออยู่ด้วยอารมณ์เดียวกันกับเทเกลือเม็ดหนาใส่ผักกาดสำหรับทำกิมจิ โปรยมันให้ทั่วทุกซอกทุกมุมของร่างกายเบเลซัก
“ฮู่ว เรียบร้อย”
เธอหยุดลงมือเมื่อปามันออกไปจนหมด
“วะฮ่าฮ่า! นังบ้านี่! ทำอะไรเนี่ย!”
“เฮ้ เบเลซัก เจ้ารู้มั้ยว่าผงนั่นคืออะไร”
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง! เจ้าตาย…!”
“ลองดมกลิ่นดูสักครั้งหน่อยดีมั้ย มันถูกโรยใส่ร่างกายเจ้านะ”
คำพูดของเธอทำให้เบเลซักยกแขนขึ้น ก่อนจะดมเศษผงที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้า
“แค็กๆ ธะ ธัญพืช?”
“โอ้ ทายถูกด้วย ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน ผสมของพวกนั้นในปริมาณเท่าๆ กันไง อร่อยมากเลยนะ นั่นของจากเซอเชาว์เลยด้วย เจ้ารู้มั้ยว่าช่วงนี้หาซื้อธัญพืชจากเซอเชาว์ได้ยากขนาดไหนน่ะ”
“วะ ว่าไงนะ!”
“แต่ไม่นานมานี้ พอดีข้าซื้อธัญพืชจากที่นั่นมาเยอะพอควร ข้าก็เลยแบ่งติดมือมาด้วยเป็นพิเศษไง นั่นน่ะ”
“เจ้าพูดพล่ามบ้าบออะไรกัน! ”
เบเลซักโมโหจนขึ้นเสียงดังลั่น เขาไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร
เธอเดินถอยหลังห่างจากเขาประมาณสามก้าว ยิ้มกว้าง แล้วพูดขึ้น
“จะอะไรได้ล่ะ มันก็เป็นอาหารที่พวกนกชอบมากที่สุดยังไงล่ะ”