เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 130.2
งานเลี้ยงมื้ออาหารถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่วังของจักรพรรดินี
ลอนเชนต์ ไอบัน ผู้เป็นแขกในวันนี้ เขาคือบุตรชายของเจ้าตระกูลไอบัน หรือก็คือตัวแทนของตระกูลนั่นเอง
ห้องครัวประจำวังจักรพรรดินีวุ่นวายกันตลอดทั้งวัน เพื่อจัดเตรียมงานเลี้ยงมื้ออาหารที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้ บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเมนูอาหารหลากหลายอย่างที่ลอนเชนต์ชื่นชอบ
ลอนเชนต์พยักหน้าลงสองสามครั้งด้วยความพอใจ ก่อนจะกล่าวทักทายผู้คนที่กำลังรอตนอยู่
“องค์จักรพรรดินี เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง ขอบพระทัยที่เชิญกระหม่อมมาพ่ะย่ะค่ะ”
อาสทาน่ายังคงเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง ส่วนจักรพรรดินีนั้นยิ้มกว้างต้อนรับอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันเดินทางมาถึงเมืองหลวงทั้งที ทางวังจะไม่ดูแลแล้วส่งตัวกลับไปเฉยๆ ได้ยังไงกันล่ะคะ”
ลอนเชนต์มาเป็นตัวแทนของเจ้าตระกูลไอบัน ผู้ซึ่งแก่ชรามากแล้วจึงไม่สะดวกที่จะเดินทางไปกลับระหว่างเขตแดนไอบันกับเมืองหลวงเสียเท่าไหร่
คำว่า ‘ตัวแทนเจ้าตระกูล’ มันช่างถูกหูเขาจริงๆ
ลอนเชนต์กล่าวทักทายบุคคลที่นั่งตัวลีบจนแทบจะไร้ตัวตนอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งด้วยเช่นกัน
“ท่านเจ้าตระกูลอังเกนัส ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะครับ”
“นั่นสิ ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ”
เรื่องที่เฟรดริก อังเกนัส เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดของจักรพรรดินี เป็นความจริงที่ชนชั้นสูงในอาณาจักรต่างก็ทราบกันทั้งนั้น
คนที่ลอนเชนต์ต้องใส่ในใจวันนี้ ไม่ใช่ทั้งเจ้าตระกูลอังเกนัสที่ทำตัวเช่นนั้น และไม่ใช่เจ้าชายลำดับที่หนึ่งที่เอาแต่นั่งปิดปากเงียบ
“เชิญนั่งตามสบายค่ะ”
คนที่มีอำนาจมากที่สุดบนโต๊ะอาหารมื้อนี้คือ จักรพรรดินีราวีนี่
ลอนเชนต์ส่งยิ้มด้วยความสุภาพและเปี่ยมมารยาทไปทางจักรพรรดินี ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหาร
และเมื่อมื้ออาหารกำลังจะจบลง จักรพรรดินีราวีนี่เหลือบมองลอนเชนต์ที่อารมณ์ดีจากอาหารรสเลิศถูกปาก นางใช้ผ้าเช็ดปากก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น
“อีกไม่นานเจ้าชายลำดับที่หนึ่งกับสหายคนสนิทจะเดินทางไปล่าสัตว์ทางเหนือแล้ว ระหว่างทริปพวกเขาอยากจะแวะไปเยือนที่ตระกูลไอบันหน่อยน่ะค่ะ”
“โอ้ อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…พอดีได้ยินเรื่องล่าหมาป่า ไม่มีที่ไหนดีเท่าเขตแดนไอบันแล้วน่ะครับ”
อาสทาน่าตอบออกไปตามที่จักรพรรดินีสั่งให้เขาพูดก่อนที่งานเลี้ยงมื้ออาหารนี่จะเริ่มขึ้น แล้วจึงยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
พฤติกรรมของมารดาที่ทำเหมือนกับเขายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่นางจะยัดเยียดอะไรใส่มือก็ได้นั้น ตอนนี้เขาเบื่อมันเต็มทนแล้ว
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพราะหมาป่าเขตเหนือทั้งร่างกายใหญ่โต ทั้งยังว่องไวเป็นอย่างมาก ทำให้การล่าได้อารมณ์ทีเดียว ประตูของเขตแดนไอบันเปิดรอต้อนรับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งเสมอพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
จักรพรรดินีมองภาพตรงหน้าด้วยความพอใจ ก่อนจะเอ่ยกับอาสทาน่าเสียงอ่อนโยน
“ตระกูลไอบันเป็นตระกูลที่สูงส่ง ทั้งยังแข็งแกร่ง คอยช่วยปกป้องเขตแดนทางเหนือของอาณาจักรเราเอาไว้ อย่าลืมจุดนั้นเชียวนะคะ เจ้าชายลำดับที่หนึ่ง”
“…พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
“และตระกูลไอบันก็ยังเป็นตระกูลที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับอังเกนัสของพวกเราอีกด้วย ที่ข้าพูดถูกมั้ยคะ ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน”
“แน่นอนอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
แผนการพัฒนาเขตแดนภาคตะวันตกที่ทางตระกูลอังเกนัสเป็นแกนนำในการผลักดันช่วงหลังมานี่ ตระกูลไอบันของลอนเชนต์เองก็มีส่วนให้ความช่วยเหลืออยู่มากเช่นกัน
ในขณะที่เขารู้สึกไม่ปลอดภัย เนื่องจากน้องชายที่อายุห่างกันเพียงแค่หนึ่งปีกำลังไล่ตามเขามาเรื่อยๆ นั่น ลอนเชนต์สามารถนำหน้าอีกฝ่ายในการแข่งขันชิงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ ก็เพราะสัญญาที่ตกลงเอาไว้กับตระกูลอังเกนัสทั้งสิ้น
“ไหนๆ วันนี้ก็อยู่กันพร้อมหน้ากันเช่นนี้แล้ว ข้ามีเรื่องอยากจะขอไหว้วานสักเรื่องค่ะ ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน”
ในที่สุดเรื่องที่ต้องพูดคุยก็มาถึงจนได้สินะ
เมื่อได้เห็นสีหน้าของจักรพรรดินีที่เปิดฉากพูดธุระสำคัญออกมา ลอนเชนต์ก็เอ่ยตอบกลับไปโดยเก็บความรู้สึกกังวลเอาไว้ในใจ
“เชิญตรัสได้เลยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
“การพัฒนาทางตะวันตกจำเป็นต้องดำเนินการให้เสร็จเร็วยิ่งขึ้น แต่ดูเหมือนว่าไม้ที่ทางตระกูลไอบันส่งมาให้จะมีปริมาณไม่เพียงพอค่ะ”
จักรพรรดินีตั้งใจจะยกระดับภาคตะวันตกให้สูงยิ่งขึ้น โดยพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการนั้นนางจำเป็นต้องสร้างคฤหาสน์ชั้นยอดและถนนหนทางที่จัดการปูพื้นอย่างดี
และไอบันก็ช่วยขายไม้สำหรับใช้ในการก่อสร้างให้ในราคาย่อมเยา
สิ่งนี้คือสัญญาข้อตกลงระหว่างไอบันกับอังเกนัสนั่นเอง
จักรพรรดินีฉีกยิ้มงดงามพลางเอ่ยต่อว่า
“เพราะฉะนั้นดูเหมือนว่าต่อไปคงจะต้องใช้ไม้มากกว่าเดิมประมาณสี่เท่าได้ค่ะ ทางตระกูลไอบันคงจะให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดีใช่มั้ยคะ”
“อา…ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี เรื่องนั้นอยู่นอกเหนือความสามารถของไอบันพ่ะย่ะค่ะ”
ลอนเชนต์เอ่ยตอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย เขาไม่ได้พูดออกไปเพราะคิดจะต่อรองหรือเล่นตัวแต่อย่างใด
“ต้นไม้ที่ทางกระหม่อมส่งให้ตระกูลอังเกนัสตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรียกว่า ‘ต้นทรีบ้า’ พ่ะย่ะค่ะ มันเป็นต้นไม้ที่แข็งแกร่ง ทนทานต่อความร้อน ทั้งยังไม่งอตัวเมื่อเจอความชื้น แต่กว่าจะตัดและแปรรูปออกมาได้ มันก็กินเวลานานมากเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็แค่ใช้ต้นไม้อื่นก็ได้ไม่ใช่หรือคะ”
ลอนเชนต์ส่ายหน้าให้กับคำพูดของจักรพรรดินี
“ไม้ชนิดอื่นไม่อาจทนทานความหนาวเย็นยามค่ำคืน ความร้อนช่วงกลางวัน หรือความชื้นจากภาคตะวันตกได้พ่ะย่ะค่ะ แน่นอนว่าหากต้องการจะลองถามหาไม้ที่ทดแทนต้นทรีบ้าจากตระกูลอื่นดูก็ได้ แต่คำตอบของพวกเขาก็คงจะเหมือนกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นเป็นความจริงที่จักรพรรดินีทราบดีอยู่แล้ว ก่อนที่จะลงมือพัฒนาเขตแดน
สภาพทางธรณีวิทยาก็ไม่ดี สภาพภูมิอากาศก็ย่ำแย่
การที่ภาคตะวันตกมีผืนดินคุณภาพแย่ไม่เหมาะกับการเพาะปลูก ทุกอย่างมีเหตุผลอยู่ในตัวทั้งสิ้น
แต่เหตุผลที่นางพยายามดิ้นรนวางแผนพัฒนาภาคตะวันตกทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามันไม่เหมาะสม ก็เป็นเพราะตัวน่ารำคาญสายตาอย่างเจ้าชายลำดับที่สอง
นางฉวยจังหวะที่เด็กนั่นเดินทางออกจากอะคาเดมี ว่าจ้างทหารรับจ้างให้ไปลอบสังหารอยู่หลายครั้งหลายหน แต่ก็ล้มเหลวมันเสียทุกครั้ง
และก็เป็นอย่างที่นางคาดการณ์เอาไว้ เจ้าชายลำดับที่สองที่เดินทางกลับมายังเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางทางเดินในอนาคตของอาสทาน่า
แผนพัฒนาภาคตะวันตกจึงเป็นวิธีที่นางคิดขึ้นเพื่อเอาชนะและก้าวข้ามสถานการณ์นี้ให้ได้
“ถ้าอย่างนั้นจะสามารถเพิ่มปริมาณไม้ทรีบ้านั่นได้เท่าไหร่หรือคะ”
“ระบุให้ชัดเจนคงจะยากพ่ะย่ะค่ะ แต่คิดว่าคงจะได้มากที่สุดก็แค่สองเท่าจากตอนนี้เท่านั้น”
ปริมาณเท่านั้นแทบจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย
จักรพรรดินีลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความไม่พอใจ แต่บนใบหน้าของนางยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนเคย ในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะคะ ข้าเชื่อว่าทางตระกูลไอบันจะพยายามอย่างสุดความสามารถค่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
มื้ออาหารจบลง ลอนเชนต์ ไอบันเดินทางออกไปจากพระราชวัง
“กับอีแค่ต้นไม้แค่นี้กลับไม่สามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม”
จักรพรรดินีตำหนิด้วยความกังวล ในขณะที่มองรถม้าของตระกูลไอบันที่เคลื่อนตัวห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
“อย่ากังวลไปเลยพ่ะย่ะค่ะ จักรพรรดินี คนที่ครอบครองป่าไม้ทรีบ้า ไม่ได้มีแต่เฉพาะตระกูลไอบันตระกูลเดียวเสียหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“หมายความว่าตระกูลอื่นก็สามารถขายไม้ในปริมาณมากพอกันกับไอบันให้พวกเราได้หรือคะ ท่านพ่อ”
“แน่นอนว่าคงไม่ได้มีมากขนาดไอบันที่ครอบครองพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดก็จริง แต่หากลองสอบถามเจ้าของเขตแดนรอบๆ ก็อาจจะพอมีหวังพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีราวีนี่เร่งรัดบิดาที่เอาแต่อืดอาดยืดยาด
“ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใด ก็จะต้องเพิ่มปริมาณไม้นั่นให้ได้ค่ะ เข้าใจใช่มั้ยคะ”
เจ้าตระกูลอังเกนัสตอบกลับไปด้วยความตื่นตระหนก
“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะลองติดต่อกลุ่มการค้าอื่นๆ ที่พอจะมีต้นทรีบ้าไว้ในครอบครองดูพ่ะย่ะค่ะ”
แต่จักรพรรดินีราวีนี่ก็ยังไม่พอใจนางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะออกคำสั่งผู้เป็นบิดา
“ไม่ แค่นั้นมันไม่พอค่ะ หลังจากติดต่อพวกกลุ่มการค้าแล้ว ท่านพ่อเดินทางไปทางเหนือ จัดการขนส่งไม้กลับมาด้วยตัวเองนะคะ”
“…พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดินี”
จักรพรรดินีราวีนี่เดินตรงไปยังหน้าต่าง ก้มลงมองภาพพระราชวังด้านนอกที่เริ่มมืดสลัว
แผนการพัฒนาภาคตะวันตกในคราวนี้ มันเดิมพันด้วยอังเกนัส เดิมพันด้วยโชคชะตาของตัวจักรพรรดินีเอง
นางยกมือขึ้นวางบนกรอบหน้าต่างที่ทำจากวัสดุชั้นยอด ก่อนจะกำมันแน่นจนข้อนิ้วแต่ละข้อปูดโปนกลายเป็นสีขาวซีดน่ากลัว