เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 131.2
“นะ นี่มัน…”
อัศวินที่พุ่งเข้าใส่เฟเรสด้วยพลังรุนแรงเมื่อครู่นี้ ได้แต่เหม่อมองดาบของตนที่หักเป็นสองท่อน
“อะ ออร่าของข้าถูกทำลาย…”
แตกต่างจากอัศวินที่อยู่ในอาการตกตะลึง เฟเรสเพียงแค่เสียบดาบเก็บลงฝักด้วยใบหน้านิ่งสงบเท่านั้น
“เฮือก…”
ใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างกายเธออ้าปากค้างส่งเสียงอุทาน
“คะ ใครเห็นบ้างว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ข้ารับใช้ชายวัยกลางคนนายหนึ่งหันไปถามรอบตัว
แต่ไม่มีใครตอบคำถามของเขา
เพราะทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการขยี้ตาด้วยไม่อยากเชื่อสายตาและไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ
อัศวินแห่งลอมบาร์เดียยืนก้มหน้านิ่ง ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็โค้งศีรษะให้แก่เฟเรส
“ได้เรียนรู้มากเลยพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
“ความบริสุทธิ์ของออร่าต่ำเกินไปครับ หากใช้ดาบบาสตาร์ด การฝึกฝนร่างกายเป็นเรื่องสำคัญก็จริง แต่ถ้าหากออร่าอ่อนแรง มันจะส่งผลต่อแรงโจมตีได้ครับ ลองฝึกฝนมานาให้เสถียรมากขึ้นดูนะครับ”
คำแนะนำของเฟเรสราบเรียบมาก
ไม่มีสีหน้าดีใจที่ได้เป็นผู้ชนะเลยแม้แต่นิดเดียว
อัศวินมองหน้าเฟเรส ในขณะที่พยักหน้าลงอย่างแข็งขัน แล้วกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
พออัศวินนายนั้นก้มลงเก็บดาบที่หักเป็นสองท่อน อัศวินคนอื่นๆ ก็รีบวิ่งเข้ามาทันที
“ตะ ต่อไปประลองกับกระหม่อม…”
“ไม่ กับกระหม่อม…”
“นี่ก็สามสิบคนเข้าไปแล้วนะ ให้มันน้อยๆ หน่อยเจ้าพวกนี้นี่!”
สามีของลอรีลซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาอัศวินทั้งหลาย พรินท์ เดวอนผู้เป็นหัวหน้าหน่วยตำหนิพวกเขาเสียงดัง
“ประลองต่อก็ได้ไม่เป็นไรครับ เซอร์เดวอน”
พอได้ยินเฟเรสพูดเสียงทุ้มต่ำ เหล่าอัศวินก็พลันมีสีหน้าเบิกบานขึ้นมาทันที
แต่พรินท์กลับส่ายหน้าปฏิเสธหนักแน่น
“จะปล่อยให้รบกวนเจ้าชายมากไปกว่านี้ไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ อีกอย่างคุณหนูฟีเรนเทียก็มาถึงแล้วด้วย”
“อ๊ะ”
เฟเรสตกใจเล็กน้อย เขารีบหันมามองหาเธอ
คงจะลืมไปเลยละมั้งว่าตัวเองกำลังอยู่ที่คฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
เธอหัวเราะโบกมือให้เขาเป็นการทักทาย
ผู้คนที่มารวมตัวกันต่างเริ่มแยกย้ายกันไปคนละทางเมื่อเห็นว่าการประลองจบลงแล้ว
“สวัสดีครับ!”
เธอกับเครนีย์รับการทักทายจากอัศวินทั้งหลาย ในขณะที่เดินเข้าไปยังลานฝึกซ้อม
เฟเรสเองก็เดินตรงมาหาเธอ เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเป็นฝ่ายทักทายก่อน
“สวัสดี เทีย”
“สวัสดี เฟเรส มาทำอะไรที่นี่เนี่ย”
“ครั้งก่อนสัญญาไว้ว่าจะช่วยเป็นคู่ประลองให้คิลลีวูกับเมโลน ก็เลยมาที่นี่น่ะ แต่วันนี้ทั้งสองคนดันออกไปฝึกซ้อมข้างนอกเสียได้”
“เพราะงั้นไหนๆ มาแล้วก็เลยช่วยดูฝีมือให้พวกอัศวินคนอื่นๆ เหรอ”
“ก็ระหว่างที่รอเทียไม่มีอะไรให้ทำพอดี”
“เหนื่อยหน่อยนะ อ้อ ทางนี้ลูกพี่ลูกน้องข้าเอง เคยเจอกันในงานเลี้ยงคราวก่อนแล้วใช่มั้ย”
“อื้อ สวัสดี เครนีย์”
“อ๊ะ ถะ ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ!”
ทันทีที่เฟเรสเรียกชื่อเจ้าตัว ใบหน้าของเครนีย์ก็ขึ้นสีแดงก่ำ
“งั้นไปดื่มชาที่ห้องข้าดีมั้ย”
เฟเรสพยักหน้าตอบคำถามเธอ
“งั้นก่อนไปก็ต้องกล่าวลาอัศวินทุกท่านก่อนสิ”
“อ๊ะ”
ในตอนนั้นเองเฟเรสถึงนึกขึ้นได้ว่าพวกอัศวินยังมีตัวตนอยู่ตรงนี้ เขาหันหลังไปเอ่ยกับทุกคน
“ไว้คราวหน้าจะแวะมาใหม่นะครับ”
พรินท์มองเธอกับเฟเรสด้วยใบหน้าสับสนเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“อ๊ะ พ่ะย่ะค่ะ…วันนี้ละ ลำบากพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทำไมทำท่าแบบนั้นล่ะเนี่ย…
พวกเรากำลังจะเดินกลับไปยังปีกคฤหาสน์ซึ่งเป็นบ้านของเธอ แต่จู่ๆ เฟเรสก็หยุดชะงัก แล้วเอ่ยถามเธอเสียงแผ่ว
“ว่าแต่เครนีย์ล่ะ ไปด้วยมั้ย”
* * *
“ชิส์”
เบเจอร์เดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะด้วยความไม่ชอบใจ หลังจากเฝ้ามองการประลองของบรรดาอัศวินกับเจ้าชายลำดับที่สองที่ลานฝึกด้านล่างจากหน้าต่างคฤหาสน์หลัก
“เล่นตลกอันใดกัน”
สภาพของพวกอัศวินลอมบาร์เดียที่ทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าชายลำดับที่สองด้านล่างนั่น ดูแล้วน่าทุเรศเสียจนเขาไม่อยากทนมองต่อ
“นังนั่นอีกแล้ว”
เมื่อภาพบุตรสาวของแคลอฮันที่เกาะติดอยู่ข้างกายเจ้าชายลำดับที่สองปรากฏเข้าสู่ห้วงสายตา เบเจอร์ก็ยิ่งมีสีหน้าบิดเบี้ยวไม่น่ามอง
“นังเด็กโอหัง”
เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพราะได้ยินข่าวเรื่องที่ฟีเรนเทียใช้สิทธิ์ของทายาท จับมือกับตระกูลเดวอนจะสร้างกิจการขึ้นมา
“นังนั่นกล้าดียังไงมาใช้อำนาจของผู้สืบทอด”
ในสายตาของเบเจอร์แล้ว ฟีเรนเทียซึ่งมีสายเลือดของคนเร่ร่อนผสมอยู่นั้น ไม่มีสิทธิ์จะใช้อำนาจของทายาทผู้สืบทอดสายตรง
ถ้าเป็นเบเลซักลูกชายของเขาที่เป็นบุตรคนโตของรูลลักก็อีกเรื่อง
“พวกชั้นต่ำไม่มีใครคบ ต้องมาเล่นกันเอง”
เบเจอร์มองเจ้าชายลำดับที่สองที่เดินคู่ไปกับฟีเรนเทียพลางพูดพึมพำด้วยความหงุดหงิดไม่หยุด
“เตรียมห้องทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ เข้าไปรอด้านในก่อนได้เลยครับ”
โยฮันพ่อบ้านประจำตัวเจ้าตระกูลเอ่ยแจ้งให้เบเจอร์ทราบ
วันนี้คือวันที่สามของสัปดาห์
เป็นวันที่สี่พี่น้องบุตรชายบุตรสาวของเจ้าตระกูล จะต้องมารวมตัวกันตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเนิ่นนาน
เบเจอร์เดินผ่านโยฮันเข้าไปในห้องทำงานของเจ้าตระกูล โดยไม่แม้แต่จะขอบคุณกันสักคำ ก่อนที่จะหยุดยืนอยู่ตรงธรณีประตูด้วยสายตาว่างเปล่า
ยิ่งนึกถึงวันที่เคยใช้ห้องทำงานแห่งนี้ในฐานะรักษาการเจ้าตระกูล ถึงแม้จะเกิดขึ้นเพียงแค่ครู่เดียวก็ตาม เขาก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์เสียมากกว่าเดิม
“แน่นอน”
ห้องทำงานห้องนี้ เขาจะทำให้มันกลายมาเป็นของตนให้ได้
มันเป็นของเขาตั้งแต่เกิดและจะไม่มีวันยอมให้ใครหน้าไหนมาแย่งมันไปจากเขาทั้งสิ้น
เบเจอร์จ้องเก้าอี้ที่มีแต่เจ้าตระกูลเท่านั้นที่มีสิทธิ์นั่งด้วยนัยน์ตาอาฆาตแค้น
ในตอนนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง
“เบเจอร์”
ใบหน้าของเบเจอร์ที่หมุนตัวหันหลังกลับไปมองโดยไม่คิดอะไร พลันบิดเบี้ยวไม่น่ามองขึ้นมา
“ถ้าจะไม่เข้าไปก็อย่าขวางทาง หลบไปข้างๆ โน่นหน่อยได้หรือไม่ มันเกะกะคนอื่นเขา”
ชานาเนสกำลังมองเบเจอร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์