เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 132.2
ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเดินกลับมาถึงบ้านของตน แต่ความโกรธแค้นของเบเจอร์กลับไม่มอดลงเลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่เบเจอร์เปิดประตูเข้าไป เซรัลผู้เป็นภริยาก็เดินมาต้อนรับเขา
“กลับมาแล้วหรือคะ ที่รัก”
ในมือของเซรัลถือกระดาษจดหมายกับซองจดหมายสีม่วงอยู่ ดูเหมือนนางกำลังอ่านจดหมายและเซรัลก็อ่านอารมณ์ของเบเจอร์ออกได้อย่างง่ายดายเฉกเช่นทุกครา
“ข้างนอกมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือคะ”
เซรัลกล่าวเช่นนั้นพลางพาเบเจอร์เดินไปนั่งลงบนโซฟาอย่างนุ่มนวล
“เฮ้อ เรื่องนั้นน่ะ”
เบเจอร์เริ่มเล่าเรื่องไม่น่าพอใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ออกไปให้เซรัลฟังทั้งหมด
เซรัลเองก็ไม่ได้พูดอะไร นางเพียงแค่นั่งฟังเรื่องเล่าของเบเจอร์อยู่เงียบๆ จนจบ
“จริงๆ เลย ท่านพ่อก็แปลกนัก สงสัยเพราะอายุมากขึ้นกระมังถึงได้คิดอ่านไม่เหมือนแต่ก่อน ทั้งๆ ที่ควรจะเรียกนังเด็กชั้นต่ำนั่นมาตำหนิไม่ให้ทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนั้นแท้ๆ”
“นั่นน่ะสิ ฟังจากข่าวลือดูเหมือนจะทำกิจการส่งของอะไรเนี่ยแหละ”
“ส่งของเนี่ยนะ”
“อืม ที่จริงแล้วตระกูลเดวอนเองก็ไม่มีงานการอะไรให้ทำนอกจากขนส่งสินค้าอยู่แล้ว คงเพราะเป็นตระกูลแบบนั้นนั่นแหละ ถึงได้เห็นดีเห็นงามกับการเล่นสนุกของฟีเรนเทียแคลอฮันเองก็เอาแต่ค้าขายกับพวกสามัญชน ทำให้พวกเราต้องอับอายแท้ๆ”
เบเจอร์กัดฟันกรอด พร่ำบ่นไปเรื่อยด้วยความหงุดหงิด
ในขณะเดียวกันก็พยายามลืมความจริงที่ว่า การที่แคลอฮันกลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับทวีปในระยะเวลาอันแสนสั้น แท้จริงแล้วก็เพราะกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูป
“คนอื่นๆ คงพูดอะไรเกี่ยวกับลอมบาร์เดียอีกพักใหญ่เลย”
เซรัลถอนหายใจราวกับรู้สึกอับอายจากใจจริง จากนั้นก็ยื่นจดหมายที่วางอยู่มุมหนึ่งให้เบเจอร์
“องค์จักรพรรดินีส่งจดหมายมาน่ะค่ะ ลองอ่านดูสักครั้งมั้ยคะ ที่รัก”
เบเจอร์รับจดหมายมาอ่านอย่างว่าง่าย
ในจดหมายกล่าวทักทายถามไถ่สารทุกข์สุกดิบสั้นๆ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแผนการพัฒนาภาคตะวันตกที่จะเลื่อนเข้ามาให้เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
“ว่าแล้วเชียว สมกับเป็นจักรพรรดินีจริงๆ ! ตัดสินใจได้เฉียบขาดมาก!”
“ตอนนี้ทางราชวงศ์เองก็วุ่นวายไปหมด เพราะเจ้าชายลำดับที่สองไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวนั่นไม่ใช่เหรอคะ คงตัดสินใจเช่นนั้น เพราะงานเร่งด่วนด้วยค่ะ”
“นั่นสิ ยังไงก็ต้องตัดรากถอนโคนก่อนที่จะมีคำพูดไร้สาระออกมา ถึงจะดีที่สุดอยู่แล้ว”
เบเจอร์ยกนิ้วโป้งสรรเสริญเยินยอว่า ‘สมกับเป็นจักรพรรดินี!’ อยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีสัญญาณว่าจะคิดอะไรไปมากกว่านั้นเลยแม้แต่น้อย
เซรัลลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในลำคอด้วยความไม่พอใจกับความโง่เขลาของเบเจอร์ที่ทำตัวเช่นนั้น นางฉีกยิ้มงดงามมากเท่ากับความรู้สึกหงุดหงิดในใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“เพราะฉะนั้นที่รักคะ ข้ามีความคิดอะไรดีๆ อยู่ค่ะ”
“ความคิดดีๆ?”
“ถ้าหากจะเร่งการก่อสร้างให้ไวขึ้น ใช้แค่คนงานของอังเกนัสอย่างเดียวคงไม่พอหรอกค่ะ เพราะฉะนั้นที่รักเข้าไปช่วยงานด้วยจะเป็นยังไงคะ”
“ขะ ข้าหรือ”
เบเจอร์ตกใจจนตาเบิกกว้าง
“ค่ะ พูดให้ชัดเจนก็คือให้ที่รักใช้กิจการก่อสร้างลอมบาร์เดียไปเข้าร่วมการพัฒนาของอังเกนัสค่ะ”
“กิจการก่อสร้าง… ถ้าอย่างนั้นก็ต้องใช้อำนาจของทายาท”
เบเจอร์ยังไม่อาจหาญกล้าลงมือทำถึงขนาดนั้น
‘อำนาจของทายาท’ มันอาจจะเป็นอำนาจที่สามารถเอาชนะตระกูลใต้บังคับบัญชาและอำนาจของผู้รับผิดชอบได้ทันทีในคราวเดียวก็จริง แต่หากเกิดข้อผิดพลาดหรือล้มเหลวขึ้นมาแล้วละก็ ความรับผิดชอบอันแสนใหญ่หลวงจะตามมาฝังกลบเขาให้จมดินหลังจากนั้นทันที
“ทำไมล่ะคะ ขนาดเด็กอย่างฟีเรนเทียยังใช้อำนาจนั่นได้เลย”
“กะ ก็จริง…”
“แล้วก็นี่คืออังเกนัสนะคะ เป็นงานที่จักรพรรดินีเป็นแกนนำผลักดันด้วยพระองค์เอง คิดว่ามันจะล้มเหลวได้หรือคะ”
เพียงครู่เดียวเบเจอร์ก็ถูกเกลี้ยกล่อมจนคล้อยตามเซรัลเสียแล้ว
“นี่เป็นโอกาสแล้วนะคะ ที่รัก ลองคิดดูสิคะ ถ้าที่รักร่วมมือกับอังเกนัสช่วยพัฒนาเขตแดนจนประสบความสำเร็จแล้วละก็ ทุกคนในลอมบาร์เดียจะมองที่รักเปลี่ยนไปมากขนาดไหน”
เบเจอร์ตกอยู่ในภวังค์ความคิด แต่เซรัลเพียงแค่เฝ้ารออย่างผ่อนคลาย
เพราะนางรู้ดีว่าก็แค่ต้องใช้เวลาเสียหน่อยเท่านั้นเอง อันที่จริงตอนนี้เบเจอร์ก็ตกหลุมพรางเชื่อถือในคำพูดของนางไปแล้ว
เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่เบเจอร์ก็เอ่ยวาจาอย่างที่เซรัลคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด
“เช่นนั้นเจ้าส่งสารไปหาองค์จักรพรรดินีได้หรือไม่”
* * *
เครนีย์ร่วมดื่มชาอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วไม่รู้ทำไมจู่ๆ ก็บอกว่ามีงานต้องทำเลยขอตัวกลับไปก่อน
ภายในห้องรับรองของเธอจึงเหลือเพียงแค่เธอกับเฟเรสสองคน
“ที่จริงข้าตั้งใจจะเอาสิ่งนี้มาให้น่ะ” เฟเรสหยิบกล่องใบเล็กออกมาจากอกเสื้อและเปิดมันออกต่อหน้าเธอ
“เพชร?” แถมไม่ใช่เพชรธรรมดาเสียด้วย
“นี่เจ้าแกะสลักเองอีกแล้วเหรอ” มันเป็นเพชรที่ถูกแกะสลักเป็นลูกเจี๊ยบตัวน้อย
“เอ่อ… ทำไมเป็นลูกเจี๊ยบล่ะ” ด้วยเพชรราคาแพงหูฉี่
“ข้าตั้งใจจะแกะสลักมัน แล้วบังเอิญเห็นลูกเจี๊ยบหลายตัวเดินผ่านไปผ่านมาแถวๆ นั้นพอดีน่ะ มันน่ารักดีนะ”
“พะ เพราะงั้นถึงเป็นลูกเจี๊ยบเหรอ…”
เธอสำรวจเพชรเม็ดหนาที่ถูกแกะสลักเป็นลูกเจี๊ยบเพียงเพราะเหตุผลแค่นั้นด้วยความรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
“ความสามารถยอดเยี่ยมมาก” ลูกเจี๊ยบตัวน้อยกลมดิ๊กมันน่ารักสุดๆ ไปเลย
“ขอบใจ” เฟเรสยิ้มตาหยีด้วยความชอบใจในคำชมของเธอ
“นี่แกะสลัก…ด้วยออร่าอีกแล้วใช่มั้ย”
“อื้อ เพชรเนี่ยแกะสลักยากมากจริงๆ ต้องใช้ออร่ารุนแรงสุดๆ เลยละ”
ออร่ามันไม่ใช่ของที่เอามาใช้งานแบบนี้สักหน่อยถ้าเอาให้ปู่โครอิลลี่ดู อยากรู้จังว่าทางนั้นจะแสดงปฏิกิริยาแบบไหนออกมาเธอคิดแบบนั้นไปพลางเก็บเพชรลูกเจี๊ยบนั่นกลับลงกล่องอัญมณีและลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะเอ่ยกับเฟเรส
“ตามข้ามาแป๊บหนึ่งสิ”
สถานที่ที่เธอพาเฟเรสมาก็คือห้องตรงข้ามห้องนอนของเธอนั่นเอง
“ลองดูข้างในนี้หน่อยมั้ย”
เธอพูดกับเฟเรสในขณะที่ช่วยเปิดประตูห้องให้เขา
“อา…”
เฟเรสมองสภาพห้อง เขาอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่เลยทีเดียว
ใช่แล้วละเจ้าเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันใช่มั้ย
เธอตบไหล่เฟเรสเบาๆ พยายามพูดรักษาน้ำใจเพื่อไม่ให้เด็กหนุ่มรู้สึกเสียใจ
“ทั้งหมดนี่คือจดหมายกับของขวัญที่เจ้าส่งมาให้ตลอดระยะเวลาที่อยู่อะคาเดมี เห็นมั้ยเฟเรส”
“…อื้อ”
“ทางด้านนั้นเป็นพวกตุ๊กตาไม้กับอัญมณีที่เจ้าแกะสลักส่งมาให้ กล่องใบใหญ่นี่เป็นจดหมาย ทางด้านนั้นมีหนังสือ และตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ตรงนั้นเจ้าก็เป็นคนทำเองไม่ใช่เหรอ ฝีมือเย็บปักเยี่ยมมากเลย”
ภายในห้องมันถึงจุดอิ่มตัวจนไม่มีพื้นที่เหลือแล้ว…ไม่มีที่จะให้ใส่ของขวัญเข้าไปเพิ่ม
“เพราะฉะนั้นตั้งแต่นี้ไม่ต้องให้แล้วก็ได้…”
“ขอบใจนะ”
“หืม?”
“ขอบใจนะ เทีย ที่เก็บทั้งหมดเอาไว้เช่นนี้” เฟเรสกำลังดีใจจากใจจริง
แค่เพราะความจริงเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่าเธอไม่เคยทิ้งขว้างของขวัญที่เขาส่งมาให้ ทั้งยังเก็บรวบรวมเอาไว้ทั้งหมดเป็นอย่างดี
เธอตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า
“มะ ไม่สิ คนที่ต้องขอบคุณคือข้าต่างหาก เจ้าเป็นคนส่งของขวัญมาให้นะ”
“อย่างนั้นหรือ อ่า…ข้าต่างหากล่ะที่ต้องขอบคุณเจ้า” นัยน์ตาของเฟเรสที่หันไปมองรอบๆ ห้องส่องประกายระยิบระยับ
“ได้ส่งของขวัญหาเทียทีไร ช่วยให้ข้ารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมากเลยละ”
“…ทำไม”
“เพราะมันหมายความว่าข้าสามารถทำอะไรบางอย่างให้เจ้าได้” เฟเรสยิ้มจนเห็นแพขนตายาวเป็นรูปโค้ง
ใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีใจนั่น ไม่รู้ทำไมมันถึงได้ซ้อนทับกับเฟเรสในวัยเยาว์ที่นั่งมองเธออยู่ตามลำพังในวังเล็กอันแสนผุพังในอดีตเมื่อตอนนั้นเสียได้