เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 133.2
เฟเรสกระโดดขึ้นม้าเพื่อเดินทางออกจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย แต่จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาคู่หนึ่งจึงหันหลังกลับไปมอง
เทียกำลังโบกมือให้เฟเรสจากหน้าต่างห้องตัวเอง
“บ๊ายบาย เทีย”
ทั้งๆ ที่ไม่มีทางได้ยินไปถึงสถานที่ที่อยู่ห่างออกไปขนาดนั้น แต่เฟเรสก็ยังโบกมือตอบกลับไปในขณะที่กล่าวลา
“ไปกันเถอะ”
เฟเรสลูบแผงคอม้าอย่างอ่อนโยน ก่อนจะกระตุ้นให้มันออกตัววิ่ง
กุบกับ กุบกับเสียงกีบเท้าม้ากระทบผืนดินดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มที่วิ่งออกมาพ้นเขตแดนลอมบาร์เดีย
สายลมเย็นฉ่ำพัดกระทบใบหน้า แต่เฟเรสไม่คิดที่จะลดความระมัดระวังลงเลยแม้แต่น้อย
เขาทราบดีว่าสถานการณ์อย่างตอนนี้ที่กำลังควบม้าวิ่งอยู่ตามลำพังบนถนนเปลี่ยวไร้ผู้คน มันเป็นเงื่อนไขที่เหมาะสมที่สุดในการบุกเข้าโจมตี
โล่งอกที่จนถึงเมืองหลวง ระหว่างทางเขาเพียงแค่เจอรถม้าขนสัมภาระของกลุ่มการค้าไม่กี่คันเท่านั้น
ไม่ได้เกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น
แต่หลังจากเข้าสู่เขตเมืองหลวง เฟเรสก็ยังคงควบม้าวิ่งวนไปเรื่อย
หลังจากมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตามหลังเขามา เฟเรสจึงค่อยควบม้าวิ่งไปยังโรงแรมแห่งหนึ่งในพื้นที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คนสัญจรผ่านไปมา
เฟเรสเดินขึ้นไปยังห้องพักบนชั้น 2 ด้วยความคุ้นเคย และได้พบกับคนสองคนที่กำลังรอเขาอยู่
“โนเชียร์ ริกนีเต้”
ริกนีเต้ซึ่งสวมใส่ชุดที่สามารถใช้ปะปนเข้าไปในหมู่สามัญชนได้อย่างแนบเนียน และชายวัยกลางคนดูแล้วค่อนข้างฉลาดทั้งยังสะอาดสะอ้านกล่าวต้อนรับเฟเรส
“งานไปถึงไหนแล้ว โนเชียร์”
เฟเรสเอ่ยถามเสียงแห้งผากต่างจากตอนที่อยู่ด้วยกันกับฟีเรนเทียเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“เป็นไปตามที่เจ้าชายคาดการณ์ไว้ อังเกนัสได้ติดต่อเข้ามาแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาบอกว่าอยากขอซื้อต้นทรีบ้าจากพวกเรา”
“สมกับเป็นเฟเรสจริงๆ !”
ริกนีเต้ตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ แต่เฟเรสยังคงนิ่งสงบเหมือนเคย
“ข้าจบการศึกษาจากอะคาเดมี เดินทางกลับมาเมืองหลวง ทั้งยังได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ ในสถานการณ์แบบนั้นสิ่งที่จักรพรรดินีจะลงมือทำได้ก็เห็นๆ กันอยู่”
“แต่ก็อาจจะใช้วิธีอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือไง”
เฟเรสส่ายหน้าให้กับคำพูดของริกนีเต้
“จักรพรรดินีเป็นคนที่ยึดติดในศักดิ์ศรี และยึดติดอยู่กับตระกูลของตัวเองมากพอๆ กับที่ต้องการผลักดันให้อาสทาน่าขึ้นเป็นรัชทายาท การพัฒนาเขตแดนอังเกนัสเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จักรพรรดินีจะคิดได้แล้วละบางทีถ้าเป็นข้าก็คงจะเลือกทางนี้เหมือนกัน”
“ถ้างั้น…จะทำยังไงดีพ่ะย่ะค่ะ”
โนเชียร์เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ก็ต้องขายสิ”
เฟเรสตอบอย่างรวดเร็ว
“…จะไม่เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
โนเชียร์ยังคงกังวลเหมือนเคย
เขาทำงานให้กับกลุ่มการค้ามาตลอดชีวิต แต่ก็ได้แค่หาเงินเติมเต็มปากท้องของผู้อื่นเท่านั้น
และในที่สุดก็ได้แยกตัวออกมาก่อตั้งกลุ่มการค้าของตัวเองด้วยวัยกว่าสี่สิบปี แต่สุดท้ายก็ยังต้องสูญเสียทุกอย่างไป
หลังจากนั้นเจ้าของกลุ่มการค้าขนาดใหญ่ที่โนเชียร์เคยทำงานด้วย ก็จงใจทำลายกลุ่มการค้าเกิดใหม่ของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขารวบรวมมาทั้งชีวิตปลิวหลุดลอยหายไป คนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเขาที่กำลังจมอยู่กับความโศกเศร้าก็คือเฟเรส
ถึงแม้อายุของอีกฝ่ายจะอ่อนเยาว์จนเป็นบุตรของเขาได้เลย แต่โนเชียร์ก็นับถือเฟเรสจากใจจริง
ดังนั้นหากเป็นคำพูดของเฟเรสละก็ เขาย่อมคล้อยตามโดยไม่คิดโต้แย้งใดๆ
แต่สำหรับเรื่องในครั้งนี้ เขารู้สึกกังวลมากจริงๆ
“ต้นทรีบ้าที่ทางกลุ่มการค้าโมนัคขายให้ จะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาที่ดินของอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ และมันจะทำให้อำนาจของอังเกนัสเพิ่มขึ้นด้วย”
“ก็จริงนะเฟเรส ที่โนเชียร์พูดมาก็ถูกอยู่”
ริกนีเต้ที่อยู่ข้างๆ เองก็เห็นด้วยเช่นกัน
“ถ้าผิดพลาดอะไรไป อาจจะกลายเป็นว่าพวกเรายื่นมือไปช่วยพวกอังเกนัสด้วยมือของพวกเราเองก็ได้”
แต่ถึงแม้ทั้งสองคนจะเป็นกังวลแค่ไหน เฟเรสกลับไม่สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงแค่เอ่ยตอบไปด้วยเสียงแห้งผากเท่านั้น
“ทางภาคตะวันตกไม่มีทางเหลือแค่ผืนดินของอังเกนัสได้ตลอดไปอยู่แล้ว”
และหันหลังกลับไปเอ่ยถามโนเชียร์
“ปริมาณที่พวกเราสามารถหาซื้อได้ในอนาคตมีเท่าไหร่”
“หากเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันแล้วละก็ ก่อนฤดูใบไม้ร่วงจะมาถึง ก็น่าจะกว้านซื้อได้เท่ากับจำนวนที่รวบรวมมาได้ถึงตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสใช้ปลายนิ้วเคาะที่เท้าแขนเก้าอี้ ครุ่นคิดในคำตอบของโนเชียร์
ก๊อก ก๊อก
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงนิ้วมือกระทบไม้อย่างสม่ำเสมอเป็นจังหวะก็หยุดลง ก่อนที่เฟเรสจะเอ่ยขึ้นว่า
“เริ่มขายสิบส่วนจากปริมาณที่พวกเราครอบครองอยู่ในตอนนี้ให้พวกอังเกนัสก็แล้วกัน ยังไงพวกเราก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นยอดเงิน…”
“เรียกไปห้าเท่าของยอดเงินที่ทางนั้นเสนอมา ถ้าทางนั้นต่อรองเหลือสามเท่าเมื่อไหร่ก็ค่อยตกลงยอมขาย โนเชียร์”
เพิ่มสูงถึงห้าเท่า แล้วค่อยลดเหลือสามเท่าอย่างนั้นหรือ
แม้แต่โนเชียร์ที่มีประสบการณ์มากมาย ก็ยังไม่เคยต่อรองจนได้กำไรล้นหลามด้วยวิธีนี้มาก่อน
แต่หากนั่นคือคำสั่งของเฟเรส เขาก็ต้องทำ
“พ่ะย่ะค่ะเจ้าชายเฟเรส” โนเชียร์โค้งศีรษะพลางเอ่ยตอบ
เฟเรสกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายกับโนเชียร์
“จำเอาไว้ให้ดี โนเชียร์ เป้าหมายที่พวกเราซื้อต้นทรีบ้ามานั่น ก็เพื่อที่จะดึงเงินจำนวนมากที่สุดออกจากกระเป๋าของพวกอังเกนัสทำให้เงินทองของพวกมันหมดในเวลาที่เร็วที่สุด จนต้องวิ่งเต้นตามหานักลงทุนอื่นเพิ่ม นั่นคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของการค้าต้นทรีบ้า”
* * *
รถม้าจากตระกูลใต้บังคับบัญชาคันหนึ่งขับเข้ามาในคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย
มันคือรถม้าที่โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ผู้รับผิดชอบกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียเป็นผู้โดยสารมา
โรมาเชียร์งานยุ่งมากจากการบริหารกลุ่มการค้า หากไม่ใช่การประชุมกับเจ้าตระกูลแล้วละก็ เขาแทบไม่มาเยือนคฤหาสน์หลังนี้เลย
แต่วันนี้เขาต้องวางมือจากงานทุกชิ้น วิ่งตรงมาที่นี่ด้วยตัวเอง
เหตุผลนั่นเป็นเพราะจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาหาเขาเมื่อไม่กี่วันก่อน
ผู้ส่งคือ ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย
สรุปเนื้อหาในจดหมายก็คือ อีกฝ่ายต้องการจะใช้อำนาจในฐานะทายาท แต่อยากรับฟังความเห็นของคนบริหารกลุ่มการค้าอย่างเขาก่อน ดังนั้นจึงขอให้เดินทางมาพบที่บ้านในวันนี้
โรมาเชียร์ไม่เคยรู้กระทั่งเรื่องที่ฟีเรนเทียแยกตัวจากบ้านของแคลอฮัน แล้วย้ายออกมาอาศัยอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ เขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
“คุณหนูฟีเรนเทียใช้อำนาจเข้ามาจัดการกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียอย่างนั้นหรือ… เฮ้อ”
เรื่องที่เด็กคนนั้นฉลาดกว่าใคร ทั้งยังได้รับความรักอย่างล้นหลามจากเจ้าตระกูลตั้งแต่เด็ก เป็นความจริงที่เขาทราบดีอยู่แล้ว
แต่ถึงยังไง ‘เด็กฉลาด’ กับเรื่องการค้า มันก็ยังเป็นคนละเรื่องกันอยู่ดี
ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่การที่โรมาเชียร์ ดิลลาร์ด ยอมเดินทางมาด้วยตัวเองในวันนี้ เป็นเพราะโบสีแดงติดอยู่บนยาขี้ผึ้งที่ยังคงเหลืออยู่ในความทรงจำของเขาต่างหากล่ะ
ภาพลักษณ์ของเจ้าตระกูลยามโอ้อวดว่า ‘หลานสาวข้าเป็นคนคิดค้นสิ่งนี้ขึ้นมา’ ที่เขาเพิ่งเคยเห็นท่านมีท่าทีเช่นนั้นเป็นครั้งแรก แล้วไหนจะมีเครย์ลีบัน บุตรชายของเขาที่เป็นฝ่ายเสนอตัวขอเป็นอาจารย์ของฟีเรนเทียอีก
เรื่องพวกนั้นทำให้หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดียยอมสละเวลาอันมีค่าของตัวเอง เดินทางมายังลอมบาร์เดียแห่งนี้
“นั่นมันตระกูลเฮย์ลิ่งไม่ใช่หรือ”
โรมาเชียร์ ดิลลาร์ดเพิ่งจะก้าวเท้าลงจากรถม้า เขามองรถม้าของตระกูลเฮย์ลิ่งที่จอดไว้อยู่ก่อนแล้ว เอ่ยพึมพำเสียงค่อย
นี่คงไม่ได้มาด้วยธุระเรื่องเดียวกับเขาหรอกใช่มั้ย
โรมาเชียร์คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ไร้สาระ เขาส่ายหน้าสลัดความคิดนั้นทิ้งไป
อีกไม่นานก็จะมีงานพบปะนักเรียนทุนแล้ว คงจะแวะมาเพื่อพบเจ้าตระกูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นมากกว่า
เขาคิดเช่นนั้น
ฟีเรนเทียคนนั้นเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ และนี่ก็เป็นเพียงแค่กิจการแรกของเด็กคนนั้น ย่อมไม่มีทางที่จะมีทั้งตระกูลเดวอน ตระกูลดิลลาร์ดและจู่ๆ ก็มีตระกูลเฮย์ลิ่งโผล่มายอมเคลื่อนไหวให้ความช่วยเหลืออีกตระกูลเป็นแน่
โรมาเชียร์คิดเช่นนั้น ขณะที่เดินตามข้ารับใช้มุ่งหน้าตรงไปยังที่พักของฟีเรนเทีย
และในตอนที่เขาตั้งใจจะยกมือขึ้นเคาะประตูที่ปิดแน่นตรงหน้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจดังออกมาจากข้างในห้องที่ถูกปิดแน่น
ถึงแม้จะได้ยินเนื้อหาบทสนทนาไม่ชัดเท่าไหร่นัก แต่เสียงสนทนาแผ่วเบานั้น มันทั้งครื้นเครง ทั้งยังดูสามัคคีกันดียิ่ง
โรมาเชียร์ถอยห่างจากประตูหลายก้าว เฝ้ารอให้แขกผู้มาเยือนคนก่อนหน้าเขาออกมาจากห้อง
ไม่นานหลังจากนั้นประตูก็เปิดออก คนที่เดินออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่ง
“โอ้ นี่หัวหน้ากลุ่มการค้าก็มาด้วยหรือ” เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งเอ่ยถามโรมาเชียร์ด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มอยู่ทั่วหน้า
“ตระกูลเฮย์ลิ่งก็มาด้วยหรือครับเนี่ย จริงๆ เลยเชียว” หรือคุณหนูคนนี้จะมีอะไรดีจริงๆ
โรมาเชียร์ ดิลลาร์ดคิดเช่นนั้นในขณะที่ลอบมองเจ้าตระกูลเฮย์ลิ่ง
ทว่า
“หัวหน้ากลุ่มการค้าก็รีบเข้าไปเถอะ” เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งยกยิ้มราวกับเข้าใจในความรู้สึกของโรมาเชียร์ดี
“ข้าไม่ได้รู้สึกสดชื่นแบบนี้มานานแล้วนะเนี่ย สงสัยคงต้องเดินเล่นในคฤหาสน์อีกสักหน่อยแล้ว!”
“สดชื่นหรือครับ หมายความว่ายังไงครับ”
“โอ๊ย เข้าไปก็รู้เองนั่นแหละ!”
เจ้าตระกูลเฮย์ลิ่งทิ้งท้ายไว้เพียงแค่ประโยคนั้น แล้วเดินจากไปในทันที
“อืมมม”
สุดท้ายโรมาเชียร์ ดิลลาร์ดก็ได้แต่ยกมือขึ้นเคาะประตูเบาๆ ด้วยความรู้สึกสงสัยที่ยังไม่อาจลบออกไปได้ หลังจากนั้นเขาจึงค่อยเปิดประตูเดินเข้าไปในห้อง
“เชิญค่ะ ท่านเจ้าตระกูลดิลลาร์ด”
คนที่รอต้อนรับเขาอยู่คือฟีเรนเทียที่นั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย
ถึงแม้จะยังหลงเหลือภาพลักษณ์ของวัยเด็กอยู่บ้าง แต่ใบหน้ายิ้มแย้มเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้วกลับเปี่ยมไปด้วยความผ่อนคลาย
และข้างกายเด็กคนนั้นยังมีอีกบุคคลหนึ่งที่ทำให้โรมาเชียร์ ดิลลาร์ดรู้สึกตื่นตัวขึ้นมาทันทีอยู่ด้วย
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ หัวหน้ากลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย”
เจ้าของร้านค้าเพลเลสซึ่งโด่งดังเป็นอันดับหนึ่งของอาณาจักร โดยไม่ต้องพึ่งพาอำนาจของตระกูลชั้นสูงใดๆ หนุนหลัง เครย์ลีบัน เพลเลสยืนอยู่ข้างหลังฟีเรนเทีย และกำลังรอคอยเขาอยู่เช่นกัน