เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 137.2
“พรุ่งนี้? พรุ่งนี้บ่ายข้าต้องไป ‘งานเปิดตัวกิจการ’ อะไรนั่นที่ทางตระกูลเดวอนจัด…”
“พรุ่งนี้ก็ขอฝากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งด้วยนะ ดิวอิจ”
จักรพรรดินีราวีนี่ยิ้มงามสง่าในขณะที่เดินย่างกรายเข้ามาข้างในแต่พระองค์ไม่แม้แต่จะหันไปมองอาสทาน่า
นางยังคงเอาแต่พูดกับดิวอิจ อังเกนัสผู้เป็นน้องชายของตัวเอง
“พรุ่งนี้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งจะไม่ไปงานเลี้ยงของตระกูลเดวอน ดังนั้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ แล้วเริ่มการเรียนการสอนกันเลยดีมั้ย”
“สะ เสด็จแม่!”
อาสทาน่าเอ่ยเรียกมารดาราวกับต้องการประท้วง แต่มันก็ไร้ประโยชน์
จักรพรรดินีราวีนี่ยังคงแย้มยิ้มเหมือนเคยก็จริง แต่นัยน์ตาเย็นชาคู่นั้นกลับจับจ้องไปที่อาสทาน่า แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เท่าที่ได้ยินมา มันเป็นงานที่รวมพวกพ่อค้าชั้นต่ำ หรือไม่ก็ชนชั้นสูงระดับล่าง ที่ไม่มีปัญญาหาซื้อของที่ต้องการด้วยตัวเองได้เท่านั้น สถานที่แบบนั้นเจ้าชายไม่จำเป็นต้องไปเพิ่มค่าให้หรอกค่ะ”
อันที่จริงมันเป็นคำขอร้องของเซรัลที่ไม่ต้องการให้อาสทาน่าไปร่วมงานเปิดตัวกิจการของตระกูลเดวอน
“แต่กระหม่อมอยากไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าชาย คิดจะเมินเฉยคำพูดของมารดาคนนี้หรือคะ”
เสด็จแม่ที่เขาหวาดกลัวมาโดยตลอด
แต่อาสทาน่าก็ยังดึงดันเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกต่อต้านที่ปะทุอยู่ในใจ
ทำไมเขาจะต้องฟังคำพูดของเสด็จแม่ด้วยล่ะ
ทำไมต้องได้รับคำอนุญาตจากเสด็จแม่ไปเสียทุกเรื่อง
เจ้าชายลำดับที่หนึ่งของอาณาจักรคือเขา ไม่ใช่เสด็จแม่เสียหน่อย!
อาสทาน่าพยักหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง แสร้งทำเป็นยอมโอนอ่อนเชื่อฟัง
และมองสีหน้าเย็นชาของจักรพรรดินีที่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างก่อนจะเอ่ยถาม
“งั้นเสด็จแม่ก็จะไม่เข้าร่วมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอนสิ ข้าต้องไปร่วมงานเลี้ยงอันแสนยิ่งใหญ่ทั้งมื้อกลางวันและมื้อเย็น การทำให้ชนชั้นสูงสามัคคีปรองดองเข้ากันได้ดี เป็นหน้าที่ของจักรพรรดินีนี่คะ”
“…คงจะยุ่งน่าดูนะพ่ะย่ะค่ะ”
อาสทาน่าอดกลั้นเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่เกือบหลุดออกมาตามธรรมชาติในขณะที่คิดขึ้นว่า
ถ้าอย่างนั้นงานเปิดตัวนั่น เขาแอบไปคนเดียวก็ได้
การหลบออกไปจากพระราชวังโดยไม่ให้พวกอัศวินพบเข้า เป็นเรื่องง่ายดายขนาดหลับตาก็ยังทำได้
หลังจากนั้นคงได้ฟังเสียงบ่นจนหูชา แต่แล้วยังไง เสด็จแม่จะทำอะไรเขาได้
ตอนนี้อาสทาน่าไม่เกรงกลัวจักรพรรดินีอีกต่อไปแล้ว
“ใช่แล้วละค่ะ ดังนั้นเจ้าชายลำดับที่หนึ่งก็ต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จะได้ทำให้ข้าดีใจยังไงล่ะคะ”
อาสทาน่าตอบพร้อมรอยยิ้มเชื่อฟังให้กับคำพูดของจักรพรรดินีราวีนี่
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
* * *
คฤหาสน์ตระกูลเดวอนเปิดประตูกว้างต้อนรับแขกเหรื่อทั้งหลายที่มาเยือน
งานที่เรียกว่างานเปิดตัวนำเสนอกิจการที่จัดขึ้นครั้งนี้ มันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ผู้คนไม่คุ้นเคย
แต่ถ้อยคำที่เขียนไว้บนบัตรเชิญอย่าง ‘งานเลี้ยงเปิดตัวแนะนำวิธีการซื้อสินค้ารูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน’ นั่น เป็นตัวกระตุ้นชั้นยอดที่ทำให้ชนชั้นสูงมากมายตบเท้าพากันมาร่วมงาน
และจุดที่แตกต่างจากงานเลี้ยงอื่นๆ ของงานเปิดตัวกิจการครั้งนี้ก็คือ ในบรรดาแขกเหรื่อที่ทยอยเดินทางมาถึง ไม่ได้มีเพียงแค่ชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ยังมีพ่อค้าปะปนอยู่เป็นจำนวนมาก
โนเชียร์ผู้มาร่วมงานวันนี้ในฐานะหัวหน้ากลุ่มการค้าโมนัคเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายลำดับที่สองที่เขาคอยรับใช้ กับฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย หัวเรี่ยวหัวแรงในการผลักดันกิจการใหม่ของกลุ่มคมนาคมลอมบาร์เดียก็จริง
แต่ความใคร่รู้ต่างหากล่ะ ที่เป็นเหตุผลหลักในการดึงดูดเท้าของโนเชียร์ให้เดินทางมาถึงที่นี่
เขาอยากรู้เหลือเกินว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ‘ไปรษณีย์’ มันคืออะไรกันแน่
ทันทีที่โนเชียร์ก้าวเท้าลงจากรถม้าและเดินเข้าไปยังโถงงานเลี้ยงของตระกูลเดวอน เขาก็ได้พบกับเหล่าพนักงานของกลุ่มคมนาคมลอมบาร์เดียที่กำลังยิ้มสดใสต้อนรับผู้คนมากมาย
“สวัสดีครับ เชิญครับ!”
“ทางด้านนี้มีเครื่องดื่มง่ายๆ จัดเตรียมเอาไว้นะคะ”
“ทางนี้ครับ เชิญเข้าไปได้เลยครับ!”
ภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากงานเลี้ยงทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ยิ่งทำให้โนเชียร์ที่กำลังรับเครื่องดื่มมาถือไว้ในมือหนึ่งแก้วเริ่มรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม เขารีบก้าวเท้าเดินเข้าไปในงาน
เสียงดนตรีบรรเลงฟังดูครึกครื้นทำให้เท้าขยับก้าวไปตามจังหวะเบาๆ โดยธรรมชาติ บรรยากาศของงานเลี้ยงในวันนี้ดูรื่นเริงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
บรรยากาศแตกต่างจากงานเลี้ยงอื่นที่มักจะจัดกันในยามค่ำคืนอย่างสิ้นเชิง
ผ้าม่านถูกรวบขึ้นทั้งหมด แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาในงาน ประกอบเข้ากับโคมไฟที่ช่วยส่องแสงให้ความสว่าง จึงยิ่งทำให้ภายในงานดูสว่างไสวเจิดจ้าเป็นพิเศษ
พนักงานจากกลุ่มคมนาคมลอมบาร์เดียอีกกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหาโนเชียร์ที่กำลังมองไปรอบๆ งาน
“เชิญรับแผ่นพับครับ”
สิ่งที่พวกเขาส่งให้ถึงมือของทุกคนอย่างสุภาพคือแผ่นพับขนาดเล็กค่อนข้างหนาพอควร
และแผ่นพับนั้นก็มีสัญลักษณ์ติดเอาไว้แบ่งเป็นสามหมวดหมู่ใหญ่ๆ
“องค์กรทุนการศึกษาลอมบาร์เดีย กลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย ร้านค้าเพลเลส…?”
นึกว่านี่เป็นงานเปิดตัวกิจการของตระกูลเดวอนเสียอีก
แต่แล้วก็พลันมีเสียงอ่อนหวานเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับบุคคลหนึ่งเดินเข้ามาหาโนเชียร์ที่กำลังเอียงคอกวาดสายตาอ่านแผ่นพับด้วยความงุนงง
“สวัสดีค่ะ ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ มีจุดไหนรู้สึกสงสัยหรือไม่เข้าใจมั้ยคะ”
“อา…”
คนคนนี้คือฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียนี่เอง
โนเชียร์เหม่อมองหญิงสาวหน้าตางดงามผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มและนัยน์ตาสีเขียวเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์มากล้นอยู่พักใหญ่
หลังจากนั้นเมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ จึงค่อยเปิดปากที่นิ่งเกร็งไปเมื่อครู่ ก่อนจะถามคำถามทันที
“แผ่นพับนี่คืออะไรหรือครับลองอ่านคร่าวๆ เหมือนจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับพวกงานศิลปะ หรือไม่ก็สินค้าต่างๆ”
“ใช่แล้วค่ะ สิ่งที่เขียนไว้ในแผ่นพับคือรายการสินค้าค่ะเป็นรายการสินค้าพิเศษที่มีเพียงแค่คนที่ใช้บริการ ‘ไปรษณีย์ลอมบาร์เดีย’ เท่านั้นที่จะสามารถหาซื้อได้ค่ะ”
“เฉพาะ…ผ่านทางไปรษณีย์ลอมบาร์เดียเท่านั้น?”
นัยน์ตาสั่นไหวของโนเชียร์กวาดสายตาอ่านเนื้อหาในแผ่นพับอีกครั้ง
ฟีเรนเทียช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้อย่างใจดี
“กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกับร้านค้าเพลเลสอาจจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในนี้จะมีรายชื่อผลงานของช่างศิลป์ที่เพิ่งเริ่มทำงานภายใต้องค์กรทุนการศึกษาลอมบาร์เดียอยู่ด้วยค่ะ”
“ไปรษณีย์…ที่ว่านั่น มันคืออะไรกันแน่ครับ”
“ไปรษณีย์ก็คือ วิธีการซื้อสินค้ารูปแบบใหม่ค่ะ เป็นการขนส่งสินค้าที่สั่งซื้อให้ถึงหน้าบ้านไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของอาณาจักรก็ตามค่ะ”
“ถึงหน้าบ้าน…”
“ค่ะ ใช่แล้วละค่ะ”
หัวใจของโนเชียร์ถึงกับเต้นผิดจังหวะยามมองใบหน้ายิ้มกว้างของฟีเรนเทีย
ไม่ได้งามแค่หน้าตาเท่านั้น
เพราะเลือดของโนเชียร์ในฐานะพ่อค้ากำลังเดือดพล่าน
สัญชาตญาณกำลังกู่ร้อง
กิจการที่เรียกว่าไปรษณีย์นี่ มันสุดยอดไปเลย!
และก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ท่าทางไม่สมกับเป็นพ่อค้าผู้มากประสบการณ์เลยสักนิด
“ข้าชื่อโนเชียร์จากกลุ่มการค้าโมนัคครับ อยากจะทราบเกี่ยวกับกิจการไปรษณีย์มากกว่านี้ จะต้องทำยังไงหรือครับ”
“อ๊ะ กลุ่มการค้าโมนัค…”
นัยน์ตาของฟีเรนเทียที่มองโนเชียร์อยู่พลันเกิดประกายพาดผ่านแตกต่างจากเมื่อครู่
และเด็กสาวก็เผยรอยยิ้มสุภาพน่ามองยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะผายมือไปยังห้องอีกห้องที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทางเข้าออก
“ทางเราได้จัดเตรียมพื้นที่สำหรับผู้เกี่ยวข้องของกลุ่มการค้าแยกเอาไว้อีกที่ค่ะ เชิญทางด้านนี้เลยนะคะ”
ฟีเรนเทียเดินนำหน้า ส่วนโนเชียร์เดินตามหลังเด็กสาวไป
และทั้งสองคนก็นั่งเผชิญหน้ากันตรงโต๊ะตัวเล็กที่จัดเตรียมไว้ในมุมหนึ่ง
“คือ…คุณหนูลอมบาร์เดียคงจะงานยุ่ง ให้พนักงานคนอื่น…”
“ไม่หรอกค่ะ” ฟีเรนเทียส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้สึกอยากจะอธิบายให้คุณโนเชียร์ฟังด้วยตัวเองน่ะค่ะ”
นัยน์ตาของเด็กสาวยามกล่าวเช่นนั้นด้วยรอยยิ้ม ส่องประกายระยิบระยับดูเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม