เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 139.2
การปรากฏตัวของเจ้าตระกูลรูมันซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นตระกูลผู้พ่ายแพ้จากตะวันออก และบุตรชายคนโตอย่างอาบีน็อกซ์ ส่งผลให้ขุนนางในที่ประชุมฮือฮาเสียงดังเซ็งแซ่
อาบีน็อกซ์ รูมัน ที่ผ่านมาอาจจะพักอยู่ในเมืองหลวงก็จริง แต่เจ้าตระกูลอินดิท รูมันได้ย่างกรายเหยียบเท้าเข้าสู่เมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่เมื่อหกปีก่อนโน้น
แน่นอนว่าในบรรดาขุนนางทั้งหลาย มีกระทั่งคนที่มองพวกเขาอย่างไม่พอใจอยู่ด้วยเช่นกัน
“ขอประทานอภัยที่มาสายพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในวังหลวงนัก จึงมาสายพ่ะย่ะค่ะ”
“…อืม โล่งอกไปทีนะ ยังไม่สายอะไรหรอก ไปนั่งที่เถอะ”
จักรพรรดิรับสั่งเช่นนั้นสองพ่อลูกจากตระกูลรูมันจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้แถวหน้าที่ยังว่างอยู่ทางฝั่งซ้าย
ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือยังไง ตำแหน่งที่นั่งนั่นดันเป็นตำแหน่งที่นั่งเผชิญหน้าตรงข้ามกับที่นั่งของตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันจากฝ่ายเหนือ ซึ่งนั่งอยู่ทางฝั่งขวาของห้องประชุมพอดิบพอดี
การประชุมเริ่มต้นขึ้นในทันที
“ฎีกาแรกเป็นเรื่องเงินช่วยเหลือการค้าภาคตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่ขุนนางผู้รับหน้าที่ดำเนินการประชุมจะทันได้พูดจบ ผู้คนทั้งหลายก็หันไปลอบสังเกตท่าทีของตระกูลรูมัน กับตระกูลไอบันกันทันที
“ไหนๆ ก็มาที่นี่พอดี งั้นก็มาลองฟังกันหน่อยเป็นไง ข้อเรียกร้องของตระกูลรูมันคืออะไรล่ะ”
อินดิท รูมันลุกขึ้นจากที่นั่งเมื่อได้ยินรับสั่งของโยบาเนส แล้วจึงกล่าวข้อเรียกร้องจากฝ่ายตน
“ตระกูลรูมันของพวกเราตอบรับพระบัญชาของฝ่าบาท ที่สั่งให้พวกเราเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของอาณาจักรอย่างกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น จึงได้เพิ่มการค้าขายกับบุคคลภายนอกให้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะแต่เส้นทางการเดินทางมาจนถึงภาคตะวันออกมันยากลำบากนัก พ่อค้าที่เดินทางมาจึงมีจำนวนไม่มาก ทั้งยังขายสินค้าในราคาที่สูงกว่าขายให้เขตแดนอื่นๆ พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของอินดิท รูมันนิ่งสงบ ทว่าหนักแน่น
“หากทำตามพระบัญชาของฝ่าบาท ตระกูลต่างๆ ทางตะวันออกรวมถึงตระกูลรูมันของพวกเราก็จะต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงขอเรียกร้องให้ทางราชวงศ์ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบเงินสนับสนุนพ่ะย่ะค่ะ”
ถึงแม้จะกำลังอธิบายข้อเสียเปรียบของตัวเอง แต่กลับไม่แสดงอารมณ์อ่อนไหวเกินควรออกมา
“มีความเห็นใดในเรื่องนี้กันบ้าง”
ก่อนที่จักรพรรดิจะทันได้พูดจบประโยค ดิวอิจ อังเกนัสซึ่งนั่งอยู่ทางฝั่งขวาก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง แล้วเอ่ยด้วยเสียงดุดัน
“กระหม่อมคัดค้านข้อเรียกร้องนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เงินสนับสนุนการเดินทางค้าขายอย่างนั้นหรือ เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งที่ผ่านมาทางตะวันออกก็ได้รับความช่วยเหลือไปมากพอแล้ว ตอนนี้จึงควรถึงเวลาหยุดได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
และก่อนที่ดิวอิจ อังเกนัสจะนั่งลงบนเก้าอี้ ก็มีเสียงโต้แย้งดังมาจากฝั่งตรงข้าม
“หากพูดถึงผลประโยชน์ที่เคยได้รับ จะมีเขตแดนไหนเทียบกับภาคตะวันตกได้อีกมั้ยล่ะนั่น ไม่คิดเช่นนั้นหรือครับ”
“ว่ายังไงนะ นี่เจ้า!”
ดิวอิจ อังเกนัสถลึงตาจ้องเขม็งด้วยความโมโห ตะเบ็งเสียงดังจนเส้นเลือดปูดขึ้นบนลำคอ
แต่พวกขุนนางฝ่ายซ้ายกลับพ่นลมหายใจทางจมูกเสียงดังหึ เป็นการเยาะเย้ยดิวอิจที่โมโหเสียจนดิ้นพล่าน
ท่ามกลางบรรยากาศที่จู่ๆ ก็พลันดุเดือดปะทุขึ้น จักรพรรดิเอ่ยถามอาสทาน่า
“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งล่ะ คิดเห็นเช่นไร”
อาสทาน่าคิดว่า ในที่สุดก็ถึงคราวเขาเสียที จึงตอบคำตอบที่เตรียมมาออกไปทันที
“กระหม่อมเห็นด้วยกับความเห็นของอังเกนัสพ่ะย่ะค่ะ ในอาณาจักรยังมีเขตแดนอื่นอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือของราชวงศ์ มากกว่าทางตะวันออกที่ได้รับความช่วยเหลือต่างๆ มามากมายแล้ว เรื่องเงินช่วยเหลือก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“มีเขตแดนที่ควรได้รับมากกว่าตะวันออก”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ที่ไหนกันล่ะ”
“ทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของอาสทาน่าทำให้ผู้คนฝ่ายขวารวมถึงอังเกนัสพยักหน้าลงอย่างพร้อมเพรียงราวกับตกลงกันมาก่อน ส่วนทางฝ่ายซ้ายก็ได้แต่พ่นลมหายใจดังหึ ด้วยใบหน้าบ่งบอกว่า ‘ว่าแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้’
“ทำไมถึงคิดเช่นนั้นกัน”
“เจ้าตระกูลรูมันกล่าวว่า เพราะเส้นทางการเดินทางไปถึงตะวันออกนั้นยากลำบาก สินค้าจึงมีราคาแพง ทำให้ต้องการได้รับเงินสนับสนุน ประเด็นนั้นก็สมเหตุสมผลอยู่หรอก แต่เส้นทางการค้าที่เดินทางลำบากนั่น ทางเหนือก็เป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
อาสทาน่าตอบจนถึงจุดนั้น แล้วก็แอบลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในเมื่อตอบออกไปตามที่ท่องมาหมดเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่เหลือเรื่องอะไรให้ต้องทำอีก
จึงค่อยคลายความเครียดลง หายใจหายคอได้บ้างเสียที
พอเห็นว่าอาสทาน่าตอบคำถามของจักรพรรดิได้อย่างราบรื่น พวกขุนนางหลายคนถึงกับมองเขาด้วยนัยน์ตาแปลกไปจากเดิม
“เจ้าชายลำดับที่สองล่ะ คิดยังไง”
โยบาเนสเอ่ยถามเฟเรส
ชั่วพริบตาห้องประชุมก็พลันเงียบเสียงลงทันที
ทุกคนต่างก็หูผึ่งเฝ้ารอคำตอบของเฟเรส
เจ้าชายลำดับที่สองผู้จบการศึกษาจากอะคาเดมีไวกว่าผู้อื่นด้วยผลการศึกษาระดับท็อป จะมีความเห็นแบบไหนกัน
“ก่อนจะแสดงความเห็นของกระหม่อม กระหม่อมมีเรื่องอยากถามเจ้าชายลำดับที่หนึ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทราบมาว่า เส้นทางการเดินทางที่เชื่อมต่อไปยังเขตแดนทางเหนือที่ว่านั่น เมื่อสองปีก่อนได้มีการก่อสร้างใหญ่ขยายถนน ทั้งยังเกิดเส้นทางการค้าสายใหม่ที่สามารถเดินทางผ่านภูเขาอีกด้วย แล้วทำไมถึงได้คิดว่าเขตแดนทางเหนือจึงจำเป็นต้องได้รับเงินช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”
“ระ เรื่องนั้น…คือว่า…”
อาสทาน่าลังเลไม่อาจตอบอะไรออกไปได้
เพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย จึงไม่อาจพูดอะไรออกไปได้สักคำ
ในตอนนั้นเอง ดิวอิจ อังเกนัสก็เป็นฝ่ายเสนอตัวชิงตอบออกมาแทน
“การก่อสร้างเมื่อสองปีก่อนเป็นเพียงแค่การปรับปรุงถนนหนทางเท่านั้น แต่เส้นทางการค้ายังคงยากลำบากเหมือนเดิมพ่ะย่ะค่ะ เจ้าชายลำดับที่สองคิดว่าทางตะวันออกสมควรดื่มด่ำกับผลประโยชน์อย่างเงินช่วยเหลือต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าคิดเช่นนั้นครับ”
เฟเรสมองสองพ่อลูกตระกูลรูมันพลางเอ่ยตอบเสียงเรียบ
ในวินาทีนั้น ขุนนางทั้งหลายที่อยู่ในห้องประชุมใหญ่ก็สามารถรู้ได้ในทันที
ตระกูลรูมันจากตะวันออกยืนอยู่ฝ่ายเจ้าชายลำดับที่สองนี่เอง
เฟเรสเอ่ยถามที่ประชุม
“ในที่แห่งนี้มีใครเคยมีประสบการณ์เดินทางไปเยือนทางตะวันออกบ้างมั้ยครับ”
ไม่มีใครยกมือขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
เพราะเส้นทางจากภาคกลางไปจนถึงภาคตะวันออก มันทั้งไกล ทั้งลำบากเกินทนมากถึงเพียงนั้น
“ระหว่างที่ข้าศึกษาอยู่ที่อะคาเดมีเมื่อถึงช่วงปิดเทอมก็จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทุกหนทุกแห่งในอาณาจักรครับ ข้าจึงได้ประสบพบเจอเรื่องมากมายด้วยตัวเอง และสามารถรู้สึกได้ผ่านทางผิวหนังเลยละว่าราคาสินค้าที่แพงแสนแพงของทางตะวันออกเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ”
“โอ้ว…”
คำพูดของเฟเรสที่กล่าวว่าเคยเดินทางไปเยือนตะวันออกด้วยตัวเองมาแล้ว ทำให้ขุนนางหลายคนมองเฟเรสด้วยความทึ่งในใจ
“กลุ่มการค้าที่ยังคงเดินทางไปถึงเขตแดนรูมัน ซึ่งเป็นเขตแดนที่อยู่ลึกเข้าไปในใจกลางภาคตะวันออกอยู่เป็นประจำ ในปัจจุบันมีเพียงแค่กลุ่มการค้าลอมบาร์เดียกับร้านค้าเพลเลส มีเพียงแค่สองกลุ่มนี้เท่านั้นครับ”
“เพียงแค่สองกลุ่ม”
“หนักกว่าที่คิดอีกนะเนี่ย”
“สมควรแล้วที่ราคาสินค้าจะแพง”
เฟเรสให้เวลาพวกขุนนางได้พูดคุยส่งเสียงฮือฮากันให้พอใจ แล้วจึงเอ่ยว่าต่อ
“กลุ่มการค้าอื่นเพียงแค่ฝากสินค้าผ่านกลุ่มการค้าทั้งสองกลุ่มไปค้าขายบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้นครับ ดังนั้นราคาสินค้าถึงได้พุ่งทะยานเสียดฟ้าตามแต่ละฤดูกาลและเพื่อที่จะเติมเต็มรายได้ที่หดหายไปของบรรดาพ่อค้า บางครั้งบรรดาเจ้าตระกูลในเขตแดนตะวันออกยังต้องเป็นผู้กว้านซื้อสินค้าเหล่านั้นเก็บไว้ด้วย”
ทุกคนหันไปมองพ่อลูกตระกูลรูมันที่ยังคงนั่งอยู่ด้วยใบหน้านิ่งสงบ
เพราะสำหรับพวกเขาซึ่งเกลียดการเปิดกระเป๋าเงินตัวเองมากจนยอมตายยังดีกว่า การทำเช่นนั้นเรียกได้ว่าเป็นการยอมเสียสละอย่างแท้จริง
“ที่ผ่านมาเจ้าตระกูลฝ่ายตะวันออกทั้งหลายรวมถึงรูมัน ต่างก็ยอมรับความสูญเสียมากมายเพื่อตอบรับพระบัญชาของฝ่าบาท แต่ถ้าหากยังเอาแต่บีบบังคับพวกเขาให้ต้องยอมรับวัฒนธรรมของอาณาจักร โดยเมินเฉยพวกเขาต่อไปแบบนี้ละก็ จะกลายเป็นการขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทที่ต้องการให้ภาคตะวันออกกับภาคกลางสามัคคีกันไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากเฟเรสพูดจบ ขุนนางของทั้งสองฝ่ายต่างก็กระซิบกระซาบสนทนาปรึกษากัน
มันไม่ใช่สงครามน้ำลายไร้ความหมายที่มักจะพบเห็นได้ในการประชุมใหญ่อยู่เป็นประจำ พวกเขากำลังปรึกษาหารือกันอย่างจริงจัง
จักรพรรดิโยบาเนสเฝ้ามองภาพตรงหน้าอยู่เงียบๆ ก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้น ห้องประชุมจึงเงียบราวกับหนูตายในทันที
“มอบเงินช่วยเหลือเส้นทางการค้าตะวันออกต่อจากนี้ไปอีกสิบปี รายละเอียดค่าใช้จ่ายเอาไว้ดูรายงานทางราชการก่อน แล้วค่อยตัดสินใจกันอีกทีก็แล้วกัน ข้ามไปฎีกาถัดไปได้”
ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ทุกฝ่ายนึกว่าจะต้องโต้เถียงกันอย่างร้อนแรง ไม่นึกเลยว่าจะถูกปิดฉากลงอย่างรวดเร็วขนาดนี้
ขุนนางทั้งหลายตื่นตระหนกจนพูดกันเสียงดัง แต่ในเมื่อจักรพรรดิเป็นผู้ตรัสว่าจะมอบเงินของราชวงศ์เป็นการช่วยเหลือ ข้าราชบริพารอย่างพวกเขาย่อมไม่อาจห้ามปรามได้อยู่แล้ว
“ฮึ่ม…”
เพราะแบบนี้ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันผู้ถูกฝ่ายตะวันออกแย่งชิงเงินสนับสนุนไป โดยไม่อาจท้วงติงได้แม้แต่ครึ่งคำ จึงไม่อาจเก็บซ่อนความไม่พอใจบนใบหน้าเอาไว้ได้
การประชุมหลังจากนั้นไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญนัก
มีเพียงแค่เฟเรสเท่านั้นที่วิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ แสดงความคิดเห็นในมุมมองใหม่ ให้ทุกคนได้ประจักษ์แจ้งถึงความสามารถทางการเมืองของเขา
การประชุมสิ้นสุดลง
ขุนนางทั้งหลายที่เข้าร่วมการประชุมยังคงไม่ออกไปจากห้องประชุม พวกเขารวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อยและกำลังสนทนากันอยู่
ทั้งองค์จักรพรรดิและเจ้าชายทั้งสองคนก็เช่นเดียวกัน
“ยอดเยี่ยมมาก เจ้าชายลำดับที่สอง ในที่สุดการประชุมก็ค่อยสมกับเป็นการประชุมใหญ่เสียที”
“ชมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
นึกถึงท่าทางของพวกขุนนางที่พยักหน้ารับฟังความเห็นของเฟเรสทุกคำพูดขึ้นมา จักรพรรดิโยบาเนสก็หัวเราะเสียงดัง
พระองค์ดื่มเหล้าอย่างอารมณ์ดีพลางเอ่ยกับเฟเรส
“ต่อไปการประชุมใหญ่ก็คงจะยิ่งดุเดือดมากขึ้น เพราะเจ้าชายลำดับที่สอง…”
พรวด
ประตูห้องประชุมใหญ่ถูกเปิดออกอย่างกะทันหัน หนึ่งในมหาดเล็กผู้ช่วยขององค์จักรพรรดิกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามา
ในมือของเขาถือกระดาษสีแดงใบหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะเพิ่งคลายออกจากขาของนกพิราบสื่อสาร
พวกขุนนางที่กำลังสนทนากันอยู่ต่างพากันหันไปมองทางด้านนั้นกันเป็นสายตาเดียว
“มีอะไร”
โยบาเนสรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเอ่ยถามเป็นการเร่งเร้า
“เมื่อครู่นี้…เมื่อครู่นี้มีสารด่วนส่งมาจากทางเหนือพ่ะย่ะค่ะ”
มหาดเล็กเอ่ยเสียงสั่น
“ข่าวแจ้งมาว่า จู่ๆ ทางเหนือก็เกิดเหตุดินถล่มขนาดใหญ่พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”