เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 140.2
“ดินถล่มอย่างนั้นหรือ หนักขนาดไหนถึงได้ส่งสารด่วนมาแบบนี้กัน”
โยบาเนสขยับบั้นท้ายกึ่งลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยถาม
“ระ เรื่องนั้น…จากสารที่เจ้าตระกูลไอบันส่งมา เห็นว่าเส้นทางการค้าสายหลักถูกตัดขาด พืชสมุนไพรรอบๆ แคมป์ตัดไม้เองก็ถูกฝังกลบหมดเลยพ่ะย่ะค่ะซ้ำร้ายไปกว่านั้น กระทั่งกำแพงเมืองไอบันเองก็พังทลาย…”
“เฮือก!”
“เรื่องใหญ่แล้ว!”
บรรดาขุนนางที่แอบฟังอยู่พร้อมกันต่างส่งเสียงอุทานออกมา
โยบาเนสเองก็ไม่ต่างกัน
แก้วเหล้าถูกยกขึ้นแตะริมฝีปากค้างเอาไว้ ในลำคอลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะอยู่หลายครั้ง
ในตอนนั้นเอง รูลลักที่นั่งฟังรายงานอยู่ด้านหน้าที่นั่งฝ่ายซ้ายก็เอ่ยถามจักรพรรดิขึ้นมา
“ฝ่าบาท มีคนเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บมากแค่ไหนหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“คนเสียชีวิต? อา…นั่นสิ เจ้าตระกูลไอบันว่ายังไงบ้าง”
โยบาเนสเพิ่งจะตระหนักได้ถึงหน้าที่ในฐานะจักรพรรดิ จึงเอ่ยถามมหาดเล็กที่เข้ามารายงานทันที
“ในสารที่ทางตระกูลไอบันส่งมา ไม่มีรายงานเรื่องผู้เสียชีวิต…”
มหาดเล็กตื่นตระหนกเล็กน้อย ก่อนจะยื่นกระดาษสีแดงที่ถือไว้ในมือส่งให้แก่โยบาเนส
จักรพรรดิรับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้ แล้วกวาดสายตาอ่านเนื้อหาในสารคร่าวๆ แต่ไม่มีรายงานแจ้งเกี่ยวกับคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยแม้แต่ประโยคเดียว
“มีการติดต่อจากตระกูลอื่นๆ มาด้วยเช่นกัน กระหม่อมจะรวบรวมแล้วมารายงานให้ทราบโดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“อืม รีบหน่อยก็แล้วกัน”
มหาดเล็กรีบร้อนออกไปจากห้องประชุม เสียงพูดคุยจอแจของพวกขุนนางที่เหลืออยู่ในห้องจึงยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม
“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน มาทางนี้หน่อย”
ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่นั่งอยู่กับที่ด้วยใบหน้าซีดเผือด รีบเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโยบาเนส
“เจ้าลองอ่านดูเถอะ”
มันเป็นเพียงแค่กระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งเท่านั้น แต่สารด่วนฉบับนี้เป็นเอกสารทางการที่เจ้าตระกูลไอบันเป็นผู้ส่งถึงจักรพรรดิด้วยตัวเอง
การอนุญาตให้คนอื่นได้อ่านเอกสารฉบับนี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเห็นใจของฝ่าบาทที่มีต่อตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันอย่างแท้จริง
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
มือของตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่รับกระดาษแผ่นนั้นมาถือไว้สั่นเทาไม่หยุด
“เท่าที่ได้ยินมา ดูเหมือนว่าความเสียหายของตระกูลไอบันจะไม่ได้มากอะไรขนาดนั้นแท้ๆ แล้วทำไมเจ้าถึงได้มีสีหน้าหม่นหมองขนาดนั้นกันล่ะ”
โยบาเนสเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พ่ะย่ะค่ะ อา เรื่องนั้น…”
ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันลังเลไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่ตกใจที่ถึงแม้ฝนจะตกลงมา แต่ตอนนี้ปริมาณน้ำฝนก็ไม่ได้สูงอะไรนัก แต่กลับเกิดเหตุดินถล่มเสียได้เท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“หืม? ก็คงจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ สินะ ต่อให้ทางเหนือจะเป็นเขตหุบเขาก็เถอะ แต่ปกติก็ไม่ค่อยเกิดเหตุดินถล่มเท่าไหร่”
“…”
ถึงแม้จักรพรรดิจะเอ่ยถาม แต่ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันก็เพียงแค่หลบสายตาของพระองค์เท่านั้น ไม่ได้อธิบายอะไรออกไปเพิ่มเติม
“คงจะต้องหาวิธีรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางเหนือกันเสียก่อน ท่านลอร์ดทั้งหลายคิดเห็นเช่นไรกันบ้าง”
โยบาเนสเอ่ยถามเหล่าขุนนางที่ยังเหลือประปรายในห้องประชุมใหญ่
“อะแฮ่ม”
แต่ครั้งนี้กลับไม่มีคำตอบใดๆ ตอบกลับมา
เป็นเพราะพวกเขากังวลว่า ถ้าหากเผลอพูดอะไรผิดไป อาจจะตกกระไดพลอยโจนกลายเป็นฝ่ายเสียเงินก้อนใหญ่เพื่อช่วยเหลือในการกู้ภัยก็เป็นได้
“เอาไว้เปิดการประชุมอีกครั้งจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
รูลลัก ลอมบาร์เดีย ลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ให้เวลาสักหน่อย ทุกคนถึงจะไปคิดหาวิธีการให้ความช่วยเหลือมาได้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาเย็นชาของรูลลักกวาดมองรอบห้องประชุมหนึ่งรอบ
โยบาเนสเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของรูลลัก จึงเปิดปากพูดขึ้น
“เช่นนั้นก็เปิดประชุมใหญ่อีกครั้งในอีกสองวันให้หลังแล้วกัน ไปเตรียมวิธีรับมือกับสถานการณ์ดินถล่มทางเหนือกันมาด้วย”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น จักรพรรดิก็หันไปพูดกับเฟเรสและอาสทาน่า
“พวกเจ้าชายก็ด้วย ถ้าอย่างนั้นเอาไว้พบกันในอีกสองวันให้หลัง”
โยบาเนสและรูลลัก ลอมบาร์เดีย เดินออกไปจากห้องประชุมพร้อมกัน
ขุนนางที่เหลือต่างเอาแต่พร่ำบ่นด้วยความไม่พอใจ รวมกลุ่มกันสามสี่คนทยอยปลีกตัวออกไปจากห้องประชุมทีละกลุ่ม
“ท่านชายอังเกนัส ทำไมสีหน้าเป็นเช่นนั้นล่ะครับ”
ใครคนหนึ่งที่ขยับกายออกเดินไปพร้อมกับดิวอิจ อังเกนัสเอ่ยถามอีกฝ่าย
“นึกถึงท่านพ่อที่เดินทางไปจัดการงานทางเหนือขึ้นมาได้พอดีน่ะ”
“คงไม่มีเรื่องใหญ่หรอกครับ ท่านก็คงจะอยู่อย่างปลอดภัยในป้อมปราการของเจ้าตระกูลไอบันแหละครับ”
“ตระกูลอังเกนัสกับตระกูลไอบันเองก็เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน ยังไงก็คงจะดูแลท่านเฟรดริกเป็นคนแรกอยู่แล้วละครับ”
“ใช่ครับ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น คงแจ้งมาในสารด่วนไปแล้ว ยังไงก็เป็นบิดาขององค์จักรพรรดินีเชียวนะครับ”
“นั่นสิ…ครับ”
ดิวอิจ อังเกนัส ได้แต่ฝืนพยักหน้ายอมเชื่อในคำพูดของผู้คนรอบข้าง ในขณะที่เดินออกไปจากห้องประชุม
* * *
วันนี้เป็นวันที่สามของสัปดาห์
หมายความว่าเป็นวันที่ที่มีการประชุมเล็กของท่านปู่กับทายาทรุ่นสอง
ท่านปู่ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ แต่การประชุมจะเริ่มขึ้นเมื่อถึงเวลาเกือบเที่ยง
เธอจัดเตรียมผลไม้กับแซนด์วิชมาให้ท่านปู่ที่งานยุ่งสุดๆ และกำลังยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องทำงาน
แกรก
การประชุมจบลงพอดี ประตูถูกเปิดออก ก่อนที่เบเจอร์จะเป็นฝ่ายเดินออกมาคนแรก
และหลังจากนั้นก็เป็นลอเรนซ์ที่เดินหน้าง่วงตามหลังออกมา
มีแค่สองคนเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ ท่านลุงทั้งหลาย!”
เธอยิ้มสดใสมากพอกันกับองุ่นสดใหม่ที่ถือไว้ในมือ แล้วกล่าวทักทายเบเจอร์กับลอเรนซ์
“อะ อืม”
ต่างจากลอเรนซ์ที่ถึงจะกระอักกระอ่วน แต่ก็ยังตอบรับคำทักทาย เบเจอร์จ้องเธอด้วยนัยน์ตาขุ่นเคือง ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้แล้วเริ่มพูดจาหาเรื่องกันทันที
“ใช่แล้ว เจ้าน่ะเหมาะกับงานเช่นนี้มากกว่า นำอาหารมาเสิร์ฟตามที่สั่ง หรือไม่ก็ช่วยชงชาให้ เจ้าควรจะทำงานที่เหมาะกับฐานะของเจ้า”
ไอ้เวรนี่ จริงๆ เลย
ถ้าหาเรื่องชวนทะเลาะกันด้วยเรื่องอื่น เธอก็ยังพอจะยอมหัวเราะปล่อยผ่านมันไปได้อยู่หรอก แต่ไอ้คำพูดขุดคุ้ยอดีตของเธอพวกนี้นี่ มันทำให้เธอรู้สึกโมโหเดือดขึ้นมาหน่อยๆ
เธอยิ้มกว้างเป็นรูปโค้งพลางเอ่ยขึ้นว่า
“พอดีว่าข้าน่ะ นอกจากจะบริหารกิจการได้ดีแล้ว งานแบบนี้ก็ทำได้ดีเหมือนกันน่ะค่ะ เฮ้อ แต่ยังไงกิจการก่อสร้างของท่านลุงก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นนี่นะ ก็สมควรอยู่หรอกค่ะที่จะอารมณ์เสีย ในเมื่อเละเทะขนาดนั้น…”
“อะไร เกิดเรื่องเละเทะอะไร”
ว่าแล้วเชียว ยังไม่รู้สินะ
ก็อย่างว่านั่นแหละ เห็นว่ายังมาร่วมประชุมกับท่านปู่ได้อย่างสงบแบบนั้น เธอก็พอจะสังเกตได้แล้ว
ชานาเนสที่ทำงานใกล้ชิดกับเหมืองแร่ทางเหนือยังทราบข่าวเรื่องนี้แล้ว และออกไปทำงานแต่เช้าตรู่แท้ๆ
เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปาก จงใจเบิกตากว้าง ก่อนจะเอ่ยด้วยความตกใจ
“ตายแล้ว ยังไม่ทราบหรือคะเนี่ย”
“รู้เรื่องอะไร”
“ตายจริง ไม่มีใครแจ้งเลยเหรอ…”
“เลิกพูดอ้อมค้อมสักที พูดมาให้มันชัดๆ !”
ทำไมเธอต้องบอกด้วย คิดจะสั่งใครไม่ทราบ
เธอหลีกทางหลบเบเจอร์ แทรกตัวเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนจะปิดประตูลงพลางเอ่ยใส่หน้าอีกฝ่าย
“ลำบากหน่อยนะคะ ท่านลุง!”
แกรก
ได้ยินเสียงเบเจอร์ส่งเสียงด่าท่อผ่านประตูที่ถูกปิดลงตามหลังเธอมา และเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะรีบร้อนวิ่งจากไปด้วยความร้อนรน
หึ วิ่งเต้นไปเถอะ
ถึงแม้ทันทีที่ไปถึงกิจการก่อสร้าง ฝันร้ายของจริงจะมาเยือนทันทีก็เถอะ
เธอฮัมเพลงเสียงแผ่วอารมณ์ดีในขณะที่เดินเข้าไปหาท่านปู่
“ท่านปู่!”
“โอ้ เทียมาแล้วหรือ!”
“ข้าเอาของกินมาให้ท่านปู่น่ะค่ะ!”
“โธ่ คนที่คิดถึงปู่คนนี้ นอกจากเทียก็ไม่มีใครแล้ว!”
ท่านปู่ดูจะยินดีและดีใจกับการมาเยี่ยมของเธอเป็นอย่างมาก
พวกเรานั่งตรงข้ามกัน กินอาหารเช้าอย่างอบอุ่น ก่อนที่เธอจะแอบลอบถาม
“ได้ยินว่าทางเหนือเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรือคะ ท่านปู่”
“หืม? เรื่องนั้นเจ้ารู้ได้ยังไง”
“ตอนเช้าข้าแวะไปที่ร้านค้าเพลเลสเลยได้ยินมาน่ะค่ะ เพราะกิจการไปรษณีย์ช่วงนี้ข้าเลยต้องแวะไปที่ร้านค้าบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอคะ”
“นั่นสินะ อืม ดูเหมือนกิจการต่างๆ ที่มีรากฐานอยู่ในเขตเหนือ จะได้รับผลกระทบเสียหายไปด้วย”
“พวกเราลอมบาร์เดียเองก็ได้รับผลกระทบด้วยสินะคะเนี่ย โดยเฉพาะเหมืองแร่ กลุ่มการค้า และก็กลุ่มก่อสร้างด้วย…”
พอเธอเริ่มเปิดปากพูด ท่านปู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจเล็กน้อย
“เทีย เจ้าคาดการณ์ได้ถึงเรื่องนั้นเลยหรือเนี่ย เด็กคนนี้ เติบโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
มือสากของท่านปู่ลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู
มือคู่นั้นอาจจะเป็นเพียงแค่มืออ่อนโยนที่ปฏิบัติต่อหลานสาวซึ่งเพิ่งจะอายุได้สิบแปดปีเท่านั้น แต่เธอก็ยังหัวเราะเสียงดังแหะๆ ออดอ้อนท่านตามใจอยากเช่นกัน
“ข้าฉลาดที่สุดในลอมบาร์เดียแล้วนี่คะ มีแต่ท่านปู่นั่นแหละที่ไม่ทราบ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!ใช่แล้ว เจ้าพูดถูก ถึงกับทำให้กิจการไปรษณีย์ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเลยนี่นา”
“งั้นตอนนี้ท่านปู่เองก็ยอมรับความสามารถของข้าแล้วใช่มั้ยคะ ทุกคนต่างก็บอกว่าข้าทำได้ดีกันทั้งนั้น แต่ข้ายังไม่ได้ยินจากท่านปู่อยู่คนเดียวเองค่ะ คำชมน่ะ”
ท่าทางแง่งอนพอสมควรไม่ดูน่าเกลียดเกินไปของเธอ ทำให้รอยยิ้มของท่านปู่แปรเปลี่ยนกลายเป็นเสียงหัวเราะลั่น
“คำชมจากปู่คนนี้สำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”
“แน่นอนสิคะ! ท่านปู่เป็นใครกันล่ะคะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่จริงแล้วปู่ก็แอบพาเจ้าตระกูลท่านอื่นๆ ไปร่วมงานเปิดตัวกิจการมาเหมือนกัน! หลานปู่น่าภูมิใจมาก!”
ท่านปู่หัวเราะเสียงดังคิกคัก
อืมม ประมาณนี้บรรยากาศน่าจะดีพอแล้วละมั้ง
“ถ้างั้นตอนนี้ท่านปู่ก็ยอมรับข้าแล้วใช่มั้ยคะ”
“จะไม่ยอมรับได้ยังไงกันล่ะ!”
ท่านปู่พยักหน้าลงอย่างหนักแน่น
“ท่านปู่ ข้ามีเรื่องอยากจะบอกค่ะ”
ถ้างั้นก็ เตรียมตัวนะคะ
“เรื่องเหตุดินถล่มทางเหนือน่ะค่ะ ข้ามีความคิดดีๆ อยู่ ลองฟังดูหน่อยมั้ยคะ”
ลุยละนะ!