เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 142.2
ในตอนที่เหล่ามหาดเล็กและข้ารับใช้ทั้งหลายต่างกำลังยุ่งอยู่กับการทำความสะอาดห้องรับรอง จักรพรรดินีราวีนี่ก็เดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง
นางเรียกนางกำนัลให้เข้ามาพบในทันที แล้วเปลี่ยนไปสวมเป็นเดรสเรียบง่ายไร้การตกแต่งที่เก็บอยู่ในซอกหลืบมุมหนึ่ง
หลังจากนั้นจึงค่อยนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบเอาสำลีขึ้นมาเช็ดเครื่องประทินผิวบนใบหน้าอย่างเงียบๆ
แซก แซก
เสียงแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับเครื่องสำอางถูกลบออกไปจากใบหน้าของจักรพรรดินีจนหมดเกลี้ยง
ไม่นานหลังจากนั้น สิ่งที่หลงเหลือสะท้อนอยู่ในกระจกก็มีเพียงราวีนี่ที่นั่งนิ่งด้วยสีหน้าซีดเผือด ไร้สีเลือด
“ฝ่าบาทเสด็จมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่มหาดเล็กแจ้งขึ้น จักรพรรดินีก็สูดลมหายใจเข้าลึกเสียงแผ่ว แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง
และในวินาทีถัดมา นางก็เดินออกจากห้องนอน พร้อมกับเอ่ยเรียกองค์จักรพรรดิด้วยเสียงเศร้าหมอง
“ฝ่าบาท…”
เพียงพริบตาก็ไม่อาจมองเห็นภาพลักษณ์อันแสนเย็นชาเมื่อครู่นี้จากใบหน้าของจักรพรรดินีได้อีก เหลือเพียงแค่สีหน้าโศกเศร้าดูน่าสงสารเท่านั้น
* * *
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยลงต่ำ
ณ ‘เจนเทิลแมนคลับ’ คลับของชนชั้นสูงซึ่งตั้งอยู่ในย่านการค้าเซดาคิวนาร์ของเมืองหลวง สถานที่ที่บรรดาผู้ชายมักจะมาร่วมดื่มเหล้าสนทนากัน
หลังจากออกมาจากวังจักรพรรดินี ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันก็มุ่งตรงมาที่นี่ทันที
ลอนเชนต์ ไอบันผู้มีใบหน้าเหนื่อยล้า
“เกินไปแล้ว”
เพื่อที่จะเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการประชุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
ในการประชุมปรึกษาหารือวิธีการรับมือกับเหตุดินถล่มทางเหนือ ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันจำเป็นต้องหาใครสักคนที่จะช่วยยืนกรานให้ส่วนกลางส่งความช่วยเหลือไปที่ไอบัน
ปกติเขาเองก็เดินทางมาเมืองหลวงค่อนข้างบ่อย ถึงคิดว่าตัวเองได้สร้างมิตรภาพและสายสัมพันธ์เอาไว้มากพอควร แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันช่างน่าตายนัก
“ข้าอาจจะเป็นสมาชิกสภาขุนนางก็จริง แต่เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือว่าข้ายังอยู่แค่ปลายแถว จะให้ข้าออกหน้าพูดแทนก็คงจะยากไปหน่อย เฮ้อ”
“ต้องขอโทษด้วย แต่ถ้าพูดแบบนั้นออกไป ข้าคงได้โดนขุนนางท่านอื่น ๆ เพ่งเล็งเข้าน่ะสิ มันก็เหมือนกับบอกให้ควักกระเป๋าตัวเองไปช่วยฟื้นฟูเรื่องทางเหนือไม่ใช่เหรอ”
ไม่มีใครแม้แต่คนเดียว ที่จะยอมเอ่ยปากช่วยเหลือเขตเหนือด้วยความยินดี
ผู้คนที่เขาเคยชนแก้วเหล้าด้วยกันทุกวัน ทั้งยังไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกันอยู่เสมอ ต่างก็หันหลังให้เขาทั้งนั้น
แทนที่จะรีบเดินทางกลับเขตเหนือ ลอนเชนต์ ไอบันต้องรั้งรออยู่ในเมืองหลวงเพื่อการนี้โดยเฉพาะแท้ ๆ
ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนด้วยความหนักใจ
ในเมื่อตอนนี้พวกเขาไม่อาจมอบต้นทรีบ้าให้ได้อีกต่อไป จะบากหน้าไปขอความร่วมมือจากทางด้านอังเกนัสก็คงจะยากเกินไป
หากไปร่วมการประชุมวันพรุ่งนี้ในสภาพนี้ล่ะก็ เงินสนับสนุนจำนวนมากที่ทางตะวันออกจะได้รับไปนั่น พวกเขาคงไม่อาจขอแบ่งมันมาได้แม้แต่เหรียญเดียว
“คนอื่น ๆ ต่างก็เลือดเย็นไร้หัวใจแบบนี้กันเสมอเลยหรือ”
ไหล่ของลอนเชนต์ลู่ลงด้วยความเหนื่อยล้าในขณะที่เดินกลับไปยังรถม้าที่จอดอยู่ในละแวกนั้น
ในตอนนั้นเอง
“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันใช่มั้ยครับ”
ทันทีที่เดินเข้าไปใกล้รถม้า ก็มีใครคนหนึ่งเอ่ยเรียกเขาเอาไว้
“ใช่ นั่นใครหรือ”
“ข้าคือพ่อบ้านจากตระกูลลอมบาร์เดีย นามโยฮันครับ ท่านเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียส่งข้ามาเชิญตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันให้ไปพบที่คฤหาสน์ครับ”
“ลอมบาร์เดีย…?”
ความสัมพันธ์ระหว่างลอมบาร์เดียกับไอบันไม่ได้ดีเด่อะไรขนาดนั้น
พวกเขารักษาความสัมพันธ์เอาไว้ได้โดยไม่แย่นัก เพราะยังต้องร่วมธุรกิจทางด้านเหมืองแร่กับกลุ่มการค้า หรือกิจการอื่น ๆ กันอยู่ แต่ระยะหลังมานี่ไอบันได้เลือกที่จะยืนฝ่ายจักรพรรดินี ต่างฝ่ายจึงได้แต่คอยระแวงจับตามองอีกฝ่าย
“หืม”
แต่รูลลัก ลอมบาร์เดียกลับเป็นฝ่ายส่งคนมาหาเขาโดยตรงแบบนี้ จะเมินเฉยก็ไม่ได้ด้วยสิ
เขาไม่อาจทำให้รูลลัก ลอมบาร์เดีย ซึ่งครองตำแหน่งที่มั่นในการประชุมใหญ่อารมณ์เสียได้อย่างเด็ดขาด
ยิ่งในสถานการณ์อย่างตอนนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่
สุดท้ายตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้แต่ยินยอมตามพ่อบ้านไปยังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียแต่โดยดี
* * *
เธอยืนอยู่ด้านหลังท่านปู่เงียบๆ เฝ้ามองตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันเดินเข้ามาในห้องทำงาน
สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมต้องหวาดระแวงว่าเพราะเหตุใดท่านปู่ถึงได้เรียกมาพบในช่วงเวลาแบบนี้กันแน่
“เข้ามาสิ เรื่องทางเหนือเสียใจด้วยนะ”
ท่านปู่เป็นฝ่ายเอ่ยกับตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันก่อน
“ขอบคุณครับโชคยังดีที่มันไม่ได้ร้ายแรงไปมากกว่านี้”
ถึงแม้คำพูดรับส่งระหว่างทั้งสองคนจะฟังดูนุ่มนวลไม่แข็งกระด้าง แต่บรรยากาศกลับตึงเครียดอย่างไม่มีสิ้นสุด
นอกจากที่ต้องเดินทางมายังคฤหาสน์ลอมบาร์เดียอย่างกะทันหันแล้ว ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันยังดูเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
ก็สมควรแล้วละ
เธอรู้อยู่แล้วว่าวันนี้ทั้งวันตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันไปนั่งอยู่ที่คลับชั้นสูง ลำบากดิ้นรนเพื่อที่จะหาคนมายืนข้างฝ่ายตัวเอง
รวมถึงเรื่องที่ไม่เป็นไปตามอย่างที่เขาหวังด้วย
พวกชนชั้นสูงเลือดเย็นพวกนั้นไม่มีทางยอมเปิดกระเป๋าเงินตัวเอง ม้วนแขนเสื้อขึ้น เพื่อช่วยเหลือทางเหนือง่ายๆ อยู่แล้ว
เธอแค่โจมตีจุดนั้นตรงๆ ก็พอ
“คุณหนูท่านนี้…”
ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันหันมามองเธอ เขาเอ่ยลากหางเสียงประโยคด้วยไม่แน่ใจว่าควรเรียกขานเธอว่าอะไรดี
“ทางด้านนี้คือ”
ในตอนที่ท่านปู่ตั้งใจจะแนะนำเธอให้อีกฝ่ายรู้จัก เธอก็ยืดไหล่ขึ้นเล็กน้อย ก้าวขาออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ข้ามีนามว่า ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียค่ะ ท่านตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน”
“อ๊ะ บุตรสาวของท่านชายแคลอฮัน…”
คงจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเธอมาบ้างแล้วสินะ
“ยินดีที่ได้พบกันครั้งแรกค่ะ”
เธอยื่นมือข้างหนึ่งออกไปหาตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันเพื่อขอจับมือทักทายกับเขา
ระหว่างชายหญิงแทบไม่เคยมีการจับมือกันอย่างเท่าเทียมเกิดขึ้นในสังคม
“อา อืม…”
ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันตื่นตระหนกไปเล็กน้อย แต่ก็ยื่นมือออกมาจับมือของเธอแต่โดยดี
การจับมือมันจะช่วยให้เกิดพละกำลังที่แปลกพิศวงนักเธอบีบมือของเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า
“ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นทางเหนือแล้วค่ะ ไม่รู้ว่าจะตกใจกันมากขนาดไหน”
เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือ ลำคอจุกไปด้วยก้อนสะอื้นราวกับรู้สึกเสียใจจากใจจริง
“อยากจะช่วยเหลือให้ได้น่ะค่ะ ข้าก็เลยขอให้ท่านปู่ช่วยเชิญท่านตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันมาพบค่ะ”
ท่าทางของเธอที่ดูเหมือนจะรู้สึกเสียใจมากจริงๆ ทำให้ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันรู้สึกหวั่นไหวไปเล็กน้อย
เธอมองสำรวจท่าทีของเขา ก่อนจะตบลงบนหลังมือของตัวแทนเจ้าตระกูลเบาๆ แล้วเอ่ยประโยคสุดท้ายที่เตรียมไว้ออกไป
“คงจะรู้สึกท้อใจมากเลยใช่มั้ยคะ”
คำพูดที่เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นเป็นมิตรหลังจากต้องเผชิญกับวันอันแสนเหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน ย่อมมีอิทธิพลต่อจิตใจคนฟังอย่างใหญ่หลวง
เจ้าตระกูลไอบันสะอื้นไห้ขึ้นมา เมื่อนึกถึงเรื่องลำบากที่ต้องเผชิญมาตลอดวัน สายตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อยด้วยแรงอารมณ์