เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 144.1
ตอนที่ 144
ตุบ
ห้องประชุมใหญ่ตกอยู่ในความเงียบไร้ซึ่งเสียงสนทนาใดๆ ทว่าจู่ๆ กลับเกิดเสียงของอะไรบางอย่างร่วงตกลงพื้นดังขึ้น
บรรดาขุนนางต่างก็หันไปมองฝั่งที่เกิดเสียงขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะพบว่าเจ้าชายลำดับที่สองที่นั่งอยู่ในตำแหน่งหัวโต๊ะกำลังเก็บเอาระเบียบการประชุมที่ร่วงหล่นขึ้นจากพื้น
“ฟีเรนเทีย?”
ชื่อของบุคคลภายนอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการประชุมในครั้งนี้ ทำให้จักรพรรดิโยบาเนสเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น
“ใช่แล้ว บุตรสาวของแคลอฮัน… สหายเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ของเจ้าชายลำดับที่สอง”
สายตาหลายคู่ย้ายไปยังจักรพรรดิจากนั้นก็หันกลับมาหาเฟเรสอีกครั้ง
เจ้าชายลำดับที่สองรับสายตาเหล่านั้นอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรราวกับสวมหน้ากาก สมแล้วที่ไม่เคยมีใครอ่านความรู้สึกของเขาออก
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้น”
“แต่นี่ไม่ใช่แคลอฮันนะ จะให้เด็กผู้หญิงเป็นผู้รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดิเอ่ยถามด้วยความสงสัยพวกขุนนางเองก็เช่นกัน
แต่รูลลักกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไม่ตื่นตระหนกใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นเรื่องที่ตัวเขาเองคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ก่อนจะเอ่ยตอบ
“เครย์ลีบัน เพลเลส ซึ่งครอบครองไม้ทรีบ้าปริมาณมากในปัจจุบันคนนั้น เป็นอาจารย์ที่ช่วยอบรบสั่งสอนฟีเรนเทียมาเป็นระยะเวลานานพ่ะย่ะค่ะ หลานสาวของกระหม่อมเป็นผู้รับหน้าที่สะพานเชื่อมต่อระหว่างลอมบาร์เดียกับร้านค้าเพลเลสพ่ะย่ะค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ…อืมมม”
ถึงแม้จะได้ยินคำอธิบายแล้ว แต่โยบาเนสก็ยังคงขมวดคิ้วแน่น รูลลักจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ถึงจะไม่แสดงออกมาให้เห็นก็เถอะ เขาใช้เงินของตัวเองเพื่อช่วยเหลือเรื่องเขตแดนเหนือ กับอีแค่จะให้หลานสาวของเขาเป็นคนไปดูแลจัดการงาน จะยังมาโต้เถียงอะไรเขากันอีกล่ะ
อีกอย่างเรื่องคราวนี้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ มันเป็นเรื่องที่จักรพรรดิต้องเป็นคนเปิดท้องพระคลังช่วยเหลือถึงจะถูกต้องแต่เพราะเขาเองก็ทราบดีว่า โยบาเนสผู้ตระหนี่จะต้องสั่งให้ขุนนางในที่ประชุมควักเงินของตัวเองออกมาเป็นแน่ ถึงได้ยอมออกหน้าเสนอตัวขึ้นเอง
อารมณ์เสียจนอยากจะยกเลิกข้อเสนอทั้งหมดมันเสียเดี๋ยวนี้ โมโหมากจนรู้สึกเสียดายเงินขึ้นมา แต่เพราะนึกถึงหน้าเทีย จึงได้ยอมอดกลั้นเอาไว้
รูลลักเก็บซ่อนสีหน้าไม่พอใจเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยกับทุกคนในที่ประชุม
“หลานสาวกระหม่อมอาจจะยังเด็ก แต่ก็เป็นเด็กที่ฉลาดมากพอที่รูลลัก ลอมบาร์เดียคนนี้ให้ความเชื่อใจและมอบกิจการสำคัญให้ดูแล กิจการไปรษณีย์ที่เพิ่งเปิดใหม่เองก็เป็นผลงานของเด็กคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ว ไปรษณีย์!”
“กิจการนั่นเป็นความคิดของบุตรสาวของแคลอฮันหรือเนี่ย!”
โล่งอกที่เกิดกระแสตอบรับร้อนแรงขึ้นท่ามกลางบรรดาขุนนางทั้งหลาย
พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่เคยแวะไปยังงานเปิดตัวกิจการไปรษณีย์กันมาแล้วครั้งหนึ่ง
มุมปากของรูลลักกระตุกยิ้มโดยไม่มีใครเห็น
ไหล่ยืดขึ้นโดยอัตโนมัติ ปลายจมูกเองก็เชิดรั้นขึ้น
“สมแล้วที่เป็นลอมบาร์เดีย! ไม่ใช่แค่รุ่นลูกเท่านั้น แม้กระทั่งหลานๆ เองก็มีความสามารถอันยอดเยี่ยมเลยนะครับ!”
“แบบนี้คงไม่ต้องกังวลแล้วละครับ เจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย!”
บรรยากาศตึงเครียดในห้องประชุมจึงคลี่คลายในพริบตา
รูลลักเองก็ไม่ได้ไม่ชอบปฏิกิริยาของผู้คนที่กำลังชื่นชมหลานสาวของเขา จึงยกยิ้มเล็กน้อย พยักหน้ารับคำชมเหล่านั้นอย่างยินดี
“อะแฮ่ม”
ท่ามกลางบรรยากาศครื้นเครง มีเพียงจักรพรรดิโยบาเนสที่ยังไม่อาจวางใจยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ
ศูนย์กลางการประชุมคือพระองค์ผู้เป็นถึงจักรพรรดิแท้ๆ แต่จู่ๆ ผู้นำบรรยากาศในที่ประชุมกลับเอนเอียงไปทางลอมบาร์เดียเสียได้
อีกอย่างท่าทีของรูลลัก ลอมบาร์เดียที่เอาแต่เชิดหน้าจองหองด้วยความภาคภูมิใจที่ให้กำเนิดสายเลือดที่ดีนั่น มันช่างน่ารำคาญสายตาของพระองค์เสียจริง
“ลอมบาร์เดียออกหน้าให้แบบนี้ ข้าเองก็ไม่อาจอยู่เฉยได้สินะ”
จักรพรรดิโยบาเนสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในขณะเดียวกันก็พยายามเก็บซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ แล้วฉีกยิ้มเรียกความชอบจากผู้คน
“ทางราชวงศ์เองก็จะส่งเงินจำนวน 5,000 เหรียญทอง รวมถึงเสบียงช่วยเหลือไปยังเขตแดนเหนือด้วย และจะส่งตัวแทนผู้รับผิดชอบของทางราชวงศ์เดินทางไปพร้อมกัน หากมีสิ่งใดต้องการเพิ่มเติม จะได้คอยช่วยส่งเสริมทุกเมื่อ”
ทางราชวงศ์เองก็จะตั้งผู้รับผิดชอบขึ้นมาเหมือนกันอย่างนั้นหรือ
จะมีรับสั่งแต่งตั้งใครกัน ทุกคนต่างก็ขนลุกชันไปหมด
สายตาของโยบาเนสเองก็กวาดมองไปทั่วห้อง
พระองค์กำลังเลือกคนที่เหมาะสมจะนั่งตำแหน่งผู้รับผิดชอบ
ในตอนนั้นเอง เสียงหนักแน่น ทว่ายังอ่อนเยาว์นักก็ดังขึ้นมา
“กระหม่อมจะเดินทางไปยังเขตเหนือเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เฟเรสนั่นเอง
“กระหม่อมเคยเดินทางท่องเที่ยวในเขตแดนเหนืออยู่นาน เช่นเดียวกับทางตะวันออกพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้จักสภาพภูมิศาสตร์ของเขตแดนดี จะพยายามเต็มที่เพื่อเป็นตัวแทนของฝ่าบาทไปมอบความช่วยเหลือให้พวกเขาพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้…”
สีหน้าของโยบาเนสพลันสดใสขึ้นมาทันที
ใช่แล้ว ยังมีเจ้าชายลำดับที่สองอยู่นี่นะ
รูลลัก ลอมบาร์เดีย เอาแต่อวดหลานสาวของตัวเองก็จริง แต่เจ้าชายลำดับที่สองเป็นโอรสของพระองค์
องค์จักรพรรดิหัวเราะชอบใจพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ได้ ค่อยวางใจได้หน่อย! ข้าขอสั่งให้เจ้าชายลำดับที่สองเป็นผู้รับผิดชอบในการให้ความช่วยเหลือเขตแดนทางเหนือ เป็นตัวแทนข้าเข้าไปดูแลแล้วค่อยเดินทางกลับมา”
กวาดสายตามองปฏิกิริยาของบรรดาขุนนาง จงใจประกาศก้องให้ทุกคนได้ยินกันให้ถ้วนหน้า
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท โปรดมอบหน้าที่นี้ให้กระหม่อม”
สายตาของขุนนางทั้งหลายยามมองเจ้าชายลำดับที่สองโค้งศีรษะให้พระองค์อย่างนอบน้อม ช่างถูกใจโยบาเนสจริงๆ
เจ้าชายลำดับที่สองนั้นแตกต่างจากเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทำได้ดีไปหมด หัวก็ดี น่าเชื่อถือ
ถ้าไม่ได้ถือกำเนิดจากนางกำนัลซึ่งเป็นเพียงแค่สามัญชนชั้นต่ำ แต่เกิดจากท้องของจักรพรรดินีก็คงจะดี
อุปสรรคที่เรียกว่าชาติกำเนิดซึ่งไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจเอาชนะได้นั่น ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน
“ถ้าอย่างนั้นก็ข้ามไปยังฎีกาถัดไปกันเถอะ วาระถัดไปคือ…”
จักรพรรดิโยบาเนสอ่านระเบียบวาระการประชุมที่ประธานสภาขุนนางถวายขึ้นมาพระองค์ได้แต่ลากเสียงท้ายประโยคให้ยืดยาว
เพราะมันเป็นฎีกาที่เขาต้องการหลบเลี่ยงมากที่สุด
“ได้เวลาตรวจสอบสาเหตุการเกิดดินถล่ม และกำหนดโทษพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
โยบาเนสกำลังลังเลว่าจะแอบข้ามฎีกานี้ไปดีหรือไม่ แต่รูลลักกลับรีบเอ่ยแจ้งขึ้นด้วยเสียงสุภาพ
“เหตุดินถล่มมันเป็นภัยธรรมชาติ จะไปตามหาสาเหตุเพื่ออะไรกัน สิ่งสำคัญคือรีบๆ ฟื้นฟูเขตแดนเหนือให้เร็วขึ้นแม้จะแค่วันเดียว…”
“ทอดพระเนตรสิ่งนี้ก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
รูลลักส่งเอกสารบางๆ ไม่กี่แผ่นให้โยบาเนส
“นี่คืออะไรหรือ”
“เหตุผลที่ความเสียหายถึงชีวิตที่เกิดขึ้นจากเหตุดินถล่มในครั้งนี้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น มันเป็นเพราะในระหว่างที่นักธรณีวิทยาที่ทางร้านค้าเพลเลสว่าจ้างมา กำลังตรวจสอบใกล้ๆ เหมืองในเขตเหนือ พวกเขาได้แจ้งถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากภัยดินถล่มให้ทางเจ้าตระกูลไอบันได้ทราบล่วงหน้าพ่ะย่ะค่ะ และนั่นคือรายงานฉบับคัดลอก”
“นั่นเป็น…เรื่องจริง?”
โยบาเนสหันไปถามตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท กระหม่อมได้ตรวจสอบกับทางบิดาแล้ว ทางนั้นยืนยันว่าเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
“หากดูจากรายงานที่นักธรณีวิทยาเขียนบันทึกขึ้นมา จะมีเขียนถึงสาเหตุหลักสองสาเหตุด้วยกัน อย่างแรกคือปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างที่สองคือการตัดไม้ที่มากเกินควรพ่ะย่ะค่ะ และเหตุดินถล่มขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นตามที่นักวิชาการท่านนั้นคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด”
“อืมม…”
“จะเรียกว่าเหตุดินถล่มทางเหนือในครั้งนี้ เป็นฝีมือมนุษย์ก็ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ”
โยบาเนสเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ
เรื่องที่ตระกูลอังเกนัสจับมือกับตระกูลไอบัน ฝืนตัดไม้เป็นจำนวนมากนั่น พระองค์จะไม่ทราบได้ยังไงกันล่ะ
แต่พระองค์ก็ไม่ได้ตัดสินลงโทษอังเกนัส
ไม่ใช่ว่ารู้สึกสงสารจักรพรรดินีที่ได้แต่นอนซมรับประทานอะไรไม่ลงแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะปัญหาเรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีต่างหาก
อย่างไรตระกูลอังเกนัสก็ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลบิดาของจักรพรรดินี การปล่อยให้ต้องรับโทษด้วยเรื่องเช่นนี้ มันดูไม่ค่อยสมควรเท่าไหร่
“ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบัน”
“…พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
แน่นอนว่าคงจะตอบออกมาว่า มันเป็นแค่ภัยธรรมชาติสินะ
จักรพรรดิโยบาเนสลอบหัวเราะในใจ
จะมีใครที่ไหนเสนอตัวบอกอยากจะรับโทษกันล่ะ
“กระหม่อม…พวกเราไอบันขอน้อมรับโทษ เพื่อชดเชยให้แก่พลเมืองและฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“…ว่ายังไงนะ”
จักรพรรดิตื่นตระหนกจนรีบร้อนถามกลับไป
“จะรับโทษ?”
“ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ถึงแม้จะเป็นเพราะทางอังเกนัสกดดันเร่งรัดมา แต่พวกเราไอบันก็สมควรที่จะคิดถึงพลเมืองและผลประโยชน์ส่วนรวมของพลเมืองเป็นอันดับแรก แต่กลับไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความกังวล เขาเหลือบมองรูลลัก ลอมบาร์เดีย ก่อนจะเอ่ยต่อ
“พวกเราไอบันพร้อมสำนึกผิด นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจะไม่ตัดไม้ตลอดระยะเวลา 5 ปี ยกเว้นแต่เฉพาะเพื่อการดำรงชีพของพลเมือง และจะไม่มีการขายไม้ส่งออกนอกเขตแดนแม้แต่ต้นเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
“ต่อไปเป็นระยะเวลา 5 ปี จะไม่ตัดไม้?”
“…พ่ะย่ะค่ะ”
ตระกูลไอบันเลือกที่จะยอมรับโทษอันแสนโหดร้ายด้วยตัวเอง
กิจการตัดไม้เป็นหนึ่งในกิจการสำคัญของทางเหนือที่ทำผลประโยชน์มากมหาศาล แต่กลับบอกว่าจะยอมตัดกำลังของตัวเองเนี่ยนะ
“ถ้าฝ่าบาททรงต้องการจะตัดสินโทษอื่นอีก กระหม่อมก็ขอน้อมรับโทษแต่โดยดีพ่ะย่ะค่ะ”
การทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากโค้งกายหมอบราบต่อหน้าจักรพรรดิ บอกว่าตัวเองผิดไปแล้วเลยแม้แต่น้อย
จักรพรรดิโยบาเนสลอบเดาะลิ้นเสียงดังจิ๊จ๊ะในใจ
ในเมื่อไอบันออกตัวแบบนี้แล้ว หากปล่อยผ่านไม่ลงโทษอะไรอังเกนัสเลย คงได้มีเสียงนินทาหลุดออกไปเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันเป็นแน่
แถมเมื่อครู่นี้ตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันยังถึงขนาดกล่าวอ้างถึง ‘การกดดันเร่งรัดของอังเกนัส’ ออกมาแล้วด้วย
ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใด สุดท้ายโยบาเนสก็จะต้องตัดสินลงโทษอังเกนัสอยู่ดี