เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 145.2
อากาศสดชื่นที่พัดเข้ามาจากด้านนอก ทำให้เธอต้องถอดเสื้อคลุมออกครู่หนึ่ง แล้วก้าวลงไปเหยียบพื้นดิน
ได้ออกมายืนยืดเส้นยืดสายหลังจากต้องนั่งนิ่งอยู่ในรถม้าตั้งหลายชั่วโมง แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงสดใสเสียงหนึ่งเอ่ยกับเธอ
“ท่านฟีเรนเทีย”
ผิวคล้ำเป็นสีแทน ใบหน้าหล่อเหลาน่ามอง ผมสีบลอนด์แพลทินัม
“ท่านอาบีน็อกซ์”
ผู้พ่ายแพ้จากตะวันออก อาบีน็อกซ์ผู้เป็นทายาทของตระกูลรูมันคนนี้ ได้ร่วมเดินทางมาช่วยเหลือเขตเหนือครั้งนี้ในฐานะตัวแทนจากตะวันออก
หลังจากได้พบกันครั้งแรกในงานเปิดตัวของเธอ อาบีน็อกซ์ก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด และมักจะไปร่วมงานพบปะของบรรดาชนชั้นสูงรุ่นเยาว์อยู่บ่อยครั้ง
นิสัยก็ดีมากเหมือนกับหน้าตาอันแสนโดดเด่น แถมยังพูดเก่ง ทำให้บรรดาชนชั้นสูงในภาคกลางไม่มีใครไม่รู้จักอาบีน็อกซ์คนนี้แม้แต่คนเดียวโดยเฉพาะในหมู่สาวๆ ความนิยมของเขาพุ่งสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อาบีน็อกซ์เอ่ยถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ค่ะ แค่รู้สึกเหมือนจะมีไข้นิดหน่อยเท่านั้นเอง พอดีข้าไม่ค่อยคุ้นกับการนั่งรถม้าเดินทางนานๆ แบบนี้ แต่ท่านอาบีน็อกซ์ดูเหมือนจะอารมณ์ดีมากเลยนะคะ”
เธอไม่ได้พูดกระแนะกระแหนเขา แต่อาบีน็อกซ์ที่ยืนยิ้มแฉ่งอยู่นั่นดูอารมณ์ดีมากจริงๆ
ต้องบอกว่าเหมือนกับไอดอลในโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลังเลยละมั้ง
“ข้าเองก็เพิ่งเคยได้เดินทางไปยังเขตเหนือเป็นครั้งแรกน่ะครับ”
“ทราบมาว่าเดิมทีมีแผนจะเดินทางกลับไปยังตะวันออกสักระยะแล้วนี่ไม่เสียดายเหรอคะ”
เมื่อได้ยินคำถาม อาบีน็อกซ์ก็หยุดครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ
“เรื่องทุกอย่างต้องมีเวลาของมันนี่ครับ ต่อให้ข้าเดินทางกลับมาจากเขตแดนเหนือ บ้านเกิดของข้าก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน เพราะมันเป็นสถานที่เช่นนั้น แต่ว่า”
นัยน์ตาสดใสดูลึกลับมีเสน่ห์ของอาบีน็อกซ์มองมายังเธอตรงๆ
“ตระกูลรูมันของพวกเราแยกตัวเป็นอิสระมานาน ไม่มีการติดต่ออะไรกับเขตแดนอื่นๆ เลย ตอนนี้ทางเหนือกำลังต้องการความช่วยเหลือ จะมีโอกาสไหนดีกว่าตอนนี้ที่จะยื่นมือเข้าไปสานสัมพันธ์ด้วยอีกละครับ”
อา ใช่แล้ว วิธีการสนทนาแบบไม่อ้อมค้อมของตะวันออก
มันเป็นคำพูดตรงไปตรงมาจนเธอเผลอตกใจไปครู่หนึ่ง
แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตะวันออกเช่นกัน
เธอหัวเราะเสียงดังฮ่าฮ่าร่วมไปกับอาบีน็อกซ์
“เทีย ข้าเอายามาให้”
ในตอนนั้นเองเฟเรสก็เดินเข้ามาหา
“เจ้าชาย”
อาบีน็อกซ์ยังคงเป็นแฟนคลับตัวยงของเฟเรสเหมือนเดิม นัยน์ตาของเขาส่องประกายระยิบระยับ
“ท่านชายน้อยรูมัน คุณหนูลอมบาร์เดียไม่ค่อยสบาย คงต้องขอตัวก่อน”
เฟเรสกล่าวสั้นๆ แล้วพาเธอเดินกลับไปที่รถม้า
“ท่านอาบีน็อกซ์ชอบเจ้ามากเลยนะ ถึงจะกระอักกระอ่วนใจ แต่ก็น่าจะทักทายกันให้ดีหน่อยสิ”
เฟเรสเปิดประตูรถม้าออก ในขณะเดียวกันก็เอ่ยตอบเธอไปด้วย
“ไว้ทีหลัง เทีย ตอนนี้สีหน้าเจ้าดูแย่กว่าเดิมอีก”
“…เหรอ”
ก็รู้สึกว่ามึนหัวมากกว่าเดิมอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน
ไม่รู้ว่าเฟเรสเป็นคนสั่งการหรือเปล่า ที่นั่งภายในรถม้าจึงถูกปรับเปลี่ยนเป็นเตียงนอนขนาดย่อม มีทั้งหมอนและผ้าห่มผืนนุ่มจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อย
หลังจากพวกเราเดินกลับขึ้นรถม้า เพียงไม่นานขบวนเดินทางก็เริ่มขยับเคลื่อนตัวออกเดินทางอีกครั้ง
“กินนี่แล้วนอนพักเยอะๆ” โล่งอกที่ยาที่เฟเรสเอามาให้ไม่ได้ขมมากนัก
ทั้งยังมีรสหวานเหลือติดปลายลิ้น ทำให้สามารถกลืนมันลงคอได้อย่างไม่ยากนัก
เพราะผลข้างเคียงจากยาหรือเปล่านะ หรือว่าเพราะผ้าห่มผืนนุ่ม ทั้งรถม้าก็ขยับเคลื่อนไปโดยสั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพียงไม่นานความง่วงงุนก็พลันคืบคลานเข้ามา
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอพักสักหน่อยก็แล้วกัน”
เปลือกตาหนักอึ้ง ตาปรือจนลืมไม่ขึ้น หลังจากพูดประโยคนั้นออกไป เธอก็หลับใหลไปโดยไม่รู้สึกตัว
* * *
พอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกก็คือ โคมไฟขนาดเล็กที่ส่องสว่างภายในรถม้ามืดสลัว
“กลางคืน…แล้วเหรอ”
นี่เธอหลับไปกี่ชั่วโมงกันแน่เนี่ย
โล่งอกที่ดูเหมือนยาจะได้ผลดีเยี่ยม พอลุกขึ้นจากที่นอน ร่างกายก็รู้สึกเบาขึ้นมาก
ทันทีที่เปิดประตูรถม้าออกไป อัศวินที่ยืนอารักขาอยู่ข้างนอกก็หันมามองเธอ
“ตื่นแล้วหรือครับ”
“ค่ะ ลำบากกันเพราะฉันแท้ๆ เลยค่ะ ตอนนี้ตั้งแคมป์กันแล้วเหรอคะ”
“ครับ เป็นเช่นนั้น”
ห่างไปจากรถม้าที่เธอนอนหลับไปเล็กน้อย อัศวินกับทหารคนอื่นๆ ก่อกองไฟทิ้งไว้ และกำลังนั่งล้อมวงสนทนาพูดคุยกันอยู่
แต่มองไม่เห็นเฟเรสเลยแม้แต่เงา
“เจ้าชายอยู่ที่ไหนเหรอคะ”
“ปลีกตัวไปสักครู่น่ะครับ”
“ข้าอยากเดินเล่นสักหน่อย จะได้มั้ยคะ”
“ครับ บริเวณนี้มีทหารยามคอยเฝ้าเวรอยู่ วางใจได้ครับ แต่อย่าไปไกลนักนะครับ”
รู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอยากยืดเส้นยืดสายอยู่พอดีเลย ค่อยยังชั่วหน่อย
เธอกล่าวขอบคุณอัศวิน แล้วเริ่มก้าวเดินไปอย่างเชื่องช้าเห็นทหารยามรุ่นเยาว์หลายคนพากันขนฟืนมาจากข้างในป่า
“ข้างในนั้นน่าจะดี”
อยู่ในป่าตอนกลางคืนอย่างนั้นเหรอ โอกาสแบบนี้หาได้ไม่ง่ายเลย
เพราะไข้หวัดปลิวหายไปหมดแล้ว เธอเลยขยับตัวก้าวเดินได้อย่างสบายใจ ผ่านไปครู่เดียวก็เดินไปเรื่อยจนเข้ามาถึงบริเวณที่มีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ
เสียงจักจั่นร้องดังไปทั่ว พระจันทร์สุกสกาวส่องประกายอยู่บนท้องฟ้าไม่ทำให้รู้สึกหวาดกลัวแต่อย่างใด
“แต่อาจจะเป็นห่วงกันก็ได้ คงต้องกลับ…”
ซ่า
ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
ซ่า ซ่า!
พูดให้ถูกก็คือ เสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในน้ำ
เธอเดินตรงไปยังบริเวณต้นเสียงทันที
เพียงไม่นานก็เดินผ่านต้นไม้สูง โผล่ออกไปเห็นเป็นพื้นที่กว้างประมาณหนึ่งท่ามกลางแมกไม้
“อา…ทะเลสาบ”
ภายใต้พระจันทร์ดวงใหญ่ที่ลอยตระหง่านอยู่เหนือฟากฟ้า ทะเลสาบสีน้ำเงินกำลังหลับใหล
ซ่า!
เสียงน้ำดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะโผล่ขึ้นมาจากน้ำ
ถึงจะเป็นแค่ภาพด้านหลัง แต่ก็สามารถรู้ได้นั่นคือเฟเรส
หยดน้ำเคลือบเรือนผมเปียกชื้น มันส่องประกายราวกับอัญมณี หยดลงมาตามแผ่นหลังตึงแน่นไปด้วยกล้ามเนื้อของเด็กหนุ่ม
“ฮู่ว…”
เสียงถอนหายใจทุ้มต่ำดังขึ้น พร้อมกับเสียงน้ำสาดกระเซ็นจากการแหวกว่ายดังขึ้นอีกครั้ง
ภายใต้แสงจันทร์สุกสกาว กล้ามเนื้อแน่นส่องประกายระยิบระยับไปตามจังหวะการเคลื่อนไหวของเฟเรส ก่อนที่ร่างกายส่วนล่างจะเริ่มค่อยๆ โผล่ขึ้นมาพ้นผิวน้ำ และส่วนลับใต้หน้าท้องเป็นลอนเองก็หมิ่นเหม่กำลังจะเผยโฉมออกมาให้เห็น
“เฮือก!”
เธอยกมือขึ้นปิดปาก เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
แกรบ!
ใบไม้แห้งที่เธอเผลอเหยียบเข้าแตกละเอียดจนเกิดเสียงแผ่วเบา
แต่สำหรับเฟเรสแล้ว แค่เสียงนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารู้ว่ามีคนอยู่ตรงนี้
ซ่า!
เสียงน้ำสาดกระเซ็นดังขึ้น พร้อมกับเฟเรสที่หันหลังหมุนตัวกลับมามอง
“…เทีย?”
เสียงทุ้มต่ำของเด็กหนุ่มดังขึ้น พร้อมกับสติของเธอที่เริ่มกลับคืนมา
นี่มันเหมือนเธอเป็นพวกโรคจิตแอบถ้ำมองเลยไม่ใช่หรือไง!
“อ๊ะ! ข้า ข้าน่ะคือแบบว่า! ขอโทษนะ! ขอโทษค่ะ!”
ถึงแม้จะหลับตาช้าไปหน่อย แต่เธอก็รีบหลับตาแน่น หันหลังหนีไปจากตรงนั้น
“ไม่ได้ตั้งใจมาแอบดูนะ! แค่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างก็เลยลองเดินมาดูเฉยๆ! แต่ดันเผลอตะลึงไปแป๊บ… ขอโทษจริงๆ!”
“…เดี๋ยวก่อน”
พอหลับตาลง หูของเธอก็ดันไวต่อความรู้สึกมากกว่าเดิม ทำให้ได้ยินเสียงชัดเจนขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ
เสียงเฟเรสขึ้นจากน้ำ เสียงเขาหาอะไรบางอย่างสวมลงบนร่างกาย
ตึก ตึก ตึก และกระทั่งเสียงเขาเดินเข้ามาหาเธอด้วยเท้าเปลือยเปล่า
“ขอโทษนะ เฟเรส! ข้าไม่ได้เห็นอะไรที่สำคัญเลย ไม่สิ นอกจากท่อนบนก็ไม่เห็นอะไรเลย! จริงๆ นะ… อ๊ากกก!”
พูดไปเรื่อย ในขณะเดียวกันก็ก้าวถอยไปข้างหลังทั้งๆ ที่ยังหลับตาลง ทำให้ส้นเท้าดันไปสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างจนร่างกายเซจวนเจียนจะล้ม
และวินาทีต่อมาก็รู้สึกได้ถึงแขนแกร่งข้างหนึ่งที่ยื่นออกมาคว้าเอวของเธอไว้
“เทีย”
เสียงที่ได้ยินอยู่ข้างหูทำให้เธอลืมตาขึ้นทันทีโดยไม่รู้ตัว
มองไปเห็นเรือนผมสีดำสนิทอาบไปด้วยหยดน้ำไหลติ๋งๆ อยู่ตรงหน้า และนัยน์ตาสีแดงสว่างเป็นประกาย
เฟเรสขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“มันอันตรายไม่ใช่เหรอ ต้องระวังหน่อยสิ”
อึก!
เธอกลืนน้ำลายเสียงดังพลางครุ่นคิด
สิ่งที่อันตรายที่สุดที่นี่ในตอนนี้ น่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าที่ทำให้คนคลั่งได้ง่ายๆ มากกว่านะ