เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 146.1
ตอนที่ 146
ตึกตัก! ตึกตัก!
หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงสาเหตุอาจจะเป็นเพราะแอบดูฉากอาบน้ำของเฟเรสโดยที่เจ้าตัวไม่ได้อนุญาต แล้วดันโดนจับได้หรือไม่ก็…
ตึกตัก!
หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงอีกครั้งราวกับจะทะลุออกมานอกตัว
วินาทีที่มองสบนัยน์ตาเปล่งประกายระยิบระยับของเฟเรสคู่นั้นก็ได้แต่คิดว่า
งดงาม!
เรือนผมเปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำถูกเสยไปด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาคมและจมูกโด่งคมสันที่ต้องแสงจันทร์จนก่อให้เกิดเป็นแสงเงากล้ามเนื้อที่ส่องประกายยามหยดน้ำบนเรือนร่างสะท้อนกับแสง ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีกระทั่งอุณหภูมิร่างกายอุ่นร้อนของเฟเรสที่ถ่ายทอดมาถึงเธอผ่านบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกันนั่นอีก
แพขนตายาวเหนือนัยน์ตาที่ก้มลงมองเธอและคิ้วเข้มที่ขมวดลงเล็กน้อยด้วยความเป็นห่วงเธอนั่นก็ด้วย
เธอได้แต่อยู่นิ่งๆ ขยับไปไหนไม่ได้ภายในอ้อมกอดของเฟเรส ได้แต่หวังให้หัวใจที่เต้นกระหน่ำเสียงดังแผ่วลงไปเอง
“…เทีย?”
คนที่ช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืนคือเฟเรส
มือใหญ่ที่ยังคงเปียกชื้นไปด้วยหยดน้ำช่วยพยุงไหล่ของเธอให้ลุกขึ้นยืน
“อา…”
จู่ๆ ก็พลันรู้สึกได้ถึงความเสียดายที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่นะ
และก่อนที่เธอจะทันได้ค้นหาสาเหตุนั่น เฟเรสก็โค้งกายลงมาหาเธอ
มือสากกอบกุมประคองแก้มทั้งสองข้างของเธอเอาไว้
“ดูเหมือนจะยังมีไข้อยู่นิดหน่อยนะ”
ใช่ ต้องไข้ขึ้นแน่ละถึงแม้จะไม่ได้มีไข้เพราะเป็นหวัดก็เถอะ แต่แก้มเธอมันร้อนผ่าวขึ้นจริงๆ
ในตอนนั้นเองเธอถึงค่อยตั้งสติขึ้นมาได้ จึงถอยหลังเขยิบห่างออกไปครึ่งก้าว
“ขอโทษนะ เฟเรส พอดีแค่เดินตามเสียงมาน่ะ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าขอโทษนะ”
เธอเอ่ยออกไปโดยพยายามซ่อนเสียงสั่นเทาเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
“…ไม่เป็นไรสักหน่อย”
“ไม่หรอก แน่นอนว่าที่นี่มันเป็นที่สาธารณะก็จริง แต่ถึงยังไงตอนที่รู้ตัวว่าเจ้าเปลือยอยู่ ข้าก็สมควรที่จะหันหลังกลับ…”
พูดแบบนั้นออกไปพลางมองสำรวจร่างกายเฟเรสไปด้วย และก็ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ทันได้สังเกต
“ทั้งหมดนี่มัน…อะไรกันน่ะ บาดแผลพวกนี้”
ทั่วหน้าอกกว้างกับแผ่นหลังของเฟเรสเต็มไปด้วยร่องรอยโหดร้ายทารุณมากมาย
“ไม่ใช่บาดแผล รอยแผลต่างหาก”
“ก็นั่นแหละ รอยแผล!ทำไมถึงได้เยอะขนาดนี้ล่ะ!”
แทบทั้งหมดอาจจะเหลือให้เห็นแค่รอยแผลยาวเป็นเส้นบางๆ เท่านั้นก็จริง แต่บริเวณแขนข้างซ้ายหรือสีข้างด้านขวา รอยแผลบนนั้นค่อนข้างใหญ่และลึกพอสมควร
อีกทั้งบนร่างกายของเฟเรสยังมีกระทั่งรอยแผลเป็นสีแดงคล้ำ คล้ายลวดลายบนหนังงูปนอยู่ด้วย
“ถ้ารอยแผลยังเหลืออยู่ขนาดนี้ แล้วเดิมทีบาดแผลมันจะใหญ่ขนาดไหนเนี่ย”
“เรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เวลาฝึกซ้อมน่ะ”
เฟเรสพูดราวกับมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร
“ฝึก? ฝึกอะไรรุนแรงขนาดนี้ ที่อะคาเดมีมีใครรังแกเจ้าอย่างนั้นเหรอ ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ปกติเขาใช้ของอย่างพวกดาบไม้กันไม่ใช่หรือไง!”
เฟเรสแสยะยิ้มเล็กน้อยให้กับคำพูดของเธอ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“การใช้ดาบน่ะ มันเป็นการต่อสู้เอาตัวรอดด้วยสัญชาตญาณและจิตวิญญาณในการตั้งใจจะสังหารให้สิ้น ถ้าไม่ใช้ดาบของจริงจะไม่มีทางพัฒนาได้เลย เทีย”
“อา…” นั่นสินะ สิ่งที่เรียกว่าดาบ
เพราะไม่ได้สวมเสื้อผ้า รอยแผลเป็นยิบย่อยที่แขนกับมือของเฟเรสจึงปรากฏสู่สายตาของเธอด้วย
และชี้ไปตรงรอยแผลสีแดงคล้ำบริเวณเอวที่เธอรู้สึกตงิดใจมากที่สุดมาตั้งแต่เมื่อครู่ พลางเอ่ยถามขึ้น
“ไหนลองบอกชื่อคนที่ทิ้งรอยแผลนั่นไว้บนร่างของเจ้ามาซิ รอยนั่นดูไม่น่าใช้การฝึกแล้ว แต่มีจุดประสงค์อื่นมากกว่า”
“…ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“ทำไมไม่รู้ชื่อ เป็นคนที่เรียนอยู่ที่อะคาเดมีไม่ใช่หรือไง”
“อันนี้ไม่ใช่แผลที่ได้จากการซ้อมประลองน่ะ”
ในตอนนั้นเอง เธอถึงค่อยนึกขึ้นมาได้
“บางครั้งก็ถูกโจมตีหรือลอบสังหารบ้าง”
ที่เฟเรสเคยบอกเธอว่า จักรพรรดินีมักจะส่งคนไปลอบสังหารเขาอยู่บ่อยๆ
“คนตายไปแล้ว ตอนนี้ก็ไปถามชื่อไม่ได้ด้วย”
เฟเรสกำลังบอกเธอว่า นักฆ่าที่จักรพรรดินีส่งไปพวกนั้น ตายหมดแล้วนี่เอง
เธอเงยหน้าขึ้นมองเฟเรสด้วยสายตาว่างเปล่า
เผลอเข้าใจผิดไปอยู่เรื่อย
เธอเข้าไปแทรกแซงชีวิตในวัยเด็กของเฟเรส ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นให้เขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องทุกอย่างมันจะราบรื่นกว่าเดิมสักหน่อย
ชีวิตของเด็กหนุ่มยังคงเต็มไปด้วยความโหดร้ายเหมือนเคย
มากพอๆ กันกับรอยแผลเป็นลึกที่เหลือค้างอยู่ตรงนี้
เธอเอื้อมมือออกไปแตะลงบนรอยแผลเป็นนูน
“คงจะเจ็บน่าดู”
ราวกับฉากโหดร้ายในวันที่เกิดรอยแผลนี่มันวาดผ่านขึ้นมาตรงหน้า
แต่ทันทีที่มือของเธอเอื้อมไปแตะเอวนั่น ก็เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นทันควัน
ร่างกายของเฟเรสสะดุ้งเล็กน้อย หน้าท้องแกร่งเกร็งแน่น
กล้ามเนื้อเป็นลอนดูสมบูรณ์แบบดั่งรูปสลัก ยิ่งเผยให้เห็นภาพลักษณ์เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์อย่างบุรุษเพศ
อุณหภูมิร่างกายของเฟเรสที่รู้สึกได้ผ่านปลายนิ้วเองก็พลันอุ่นร้อนขึ้นมา
หมับ! เขากำหมัดแน่น แขนเกร็งจนเห็นเส้นเลือดปูดโปน
เธอเงยหน้าขึ้นมองเฟเรส
“…”
สบตาเข้ากับนัยน์ตามืดหม่นคู่นั้นข้างในนั้นมันดูยุ่งเหยิงไปหมด ให้ความรู้สึกอันตรายชอบกล
รู้สึกได้ถึงความอุ่นร้อนจากการพยายามอดกลั้นแรงอารมณ์ผ่านทางแผ่นอกกว้างเปลือยเปล่าของเฟเรส ที่หอบหายใจถี่จนมันกระเพื่อมเป็นจังหวะขึ้นลงอยู่เงียบๆ
เขาก้มหน้ามองเธอ เปลือกตาคู่นั่นสั่นเทา
ในจังหวะนั้นเอง เสียงรอบด้านที่เคยถูกผลักไสออกห่างจนไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากการมีตัวตนของพวกเราทั้งคู่ก็กลับมาดังเข้าสู่โสตประสาทหู แล้วก็พลันตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ขึ้นมาได้
ภายใต้แสงจันทร์ เธอกำลังลูบไล้เรือนร่างของเฟเรส และเด็กหนุ่มก็พันเพียงแค่ผ้าคลุมเอาไว้ที่เอวอย่างหมิ่นเหม่
“เฮือก!”
เธอรีบผละมือออกจากร่างกายของเฟเรส แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนรน
“ขะ ข้ากลับไปที่รถม้าก่อนนะ! ตะ ต้องนอนอีกสักหน่อย!”
และก็รีบเดินหนีออกไปตามทางเดินในป่า ทุกย่างก้าวส่งเสียงดังสวบ สวบ
ตู้ม!
ได้ยินเสียงคล้ายกับเฟเรสจะกระโจนลงไปในทะเลสาบอีกครั้งดังตามไล่หลังมา
* * *