เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 146.2
พวกเราเดินทางมาถึงเขตแดนไอบันได้อย่างปลอดภัย
เนื่องจากตารางการเดินทางอันแสนเร่งรีบ ทุกคนจึงเหนื่อยล้ากันมาก แต่การเดินทางก็มาถึงได้อย่างราบรื่นไม่เกิดเรื่องอันตรายอะไร
เหล่าพลเมืองที่รวมตัวกันอยู่แถวลานก่อสร้างกำแพงเมือง ต่างก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง ตะโกนโห่ร้องเสียงดังต้อนรับพวกเราซึ่งเสมือนเป็นแนวหน้าที่จะคอยประสานงานในการขนส่งอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยและความช่วยเหลือจากภาคกลางมาในอนาคต
แต่ปัญหาคือตั้งแต่เดินเข้าไปในคฤหาสน์ไอบันเนี่ยแหละ
“เชิญพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย และก็คุณหนูลอมบาร์เดียกับท่านชายรูมันด้วย ยินดีต้อนรับนะครับ ข้ามิเคนเต้ ไอบันครับ”
มิเคนเต้ ไอบัน เป็นบุตรชายคนที่สองของเจ้าตระกูลไอบัน หรือก็คือน้องชายของตัวแทนเจ้าตระกูลไอบันที่พำนักอยู่ในเมืองหลวงนั่นเอง
“…เจ้าตระกูลไอบันอยู่ที่ไหนเนี่ย”
เธอกับอาบีน็อกซ์เอ่ยถามเช่นนั้น
เจ้าชายรับราชโองการจากองค์จักรพรรดิ เดินทางนำเสบียงกู้ภัยมาให้ถึงไอบัน แต่คนที่ออกมาต้อนรับเจ้าชายพร้อมคณะเดินทางกลับไม่ใช่เจ้าตระกูลไอบันเนี่ยนะ
นี่ถือเป็นมารยาททางการเมืองที่แย่มาก
ถ้าหากเป็นอาสทาน่าละก็ ป่านนี้อาจจะโวยวายจนจะเกิดเรื่องวุ่นไปทั่วเขตแดนแล้วก็ได้
ใบหน้าของเฟเรสเองก็ดูบึ้งตึงไปมากเหมือนกัน
“ท่านพ่อ…พอดีเมื่อเช้ามืดเกิดเหตุดินถล่มอีกแล้ว ก็เลยรีบร้อนออกไป…”
มิเคนเต้ ไอบัน รีบร้อนแก้ตัว แต่สุดท้ายก็ต้องโค้งศีรษะลงพร้อมเอ่ยขออภัย
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย”
เธอเฝ้ามองสถานการณ์อยู่เงียบๆ เพราะไม่ว่ายังไง คนที่รับราชโองการให้เป็นผู้นำขบวนเดินทางในครั้งนี้คือเฟเรส
“…ดีจริงที่ได้เห็นว่าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพลเมืองมาเป็นอันดับแรก”
คิดที่จะลอบสังเกตการณ์เงียบๆ ไปก่อนสินะ
คำพูดของเฟเรสทำเอามิเคนเต้รู้สึกละอายใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ทางกระหม่อมได้เตรียมงานเลี้ยงมื้อเย็นไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะเดินทางมากันเหนื่อยๆ พักผ่อนกันก่อน กระหม่อมจะให้คนนำทางให้พ่ะย่ะค่ะ เจ้าชาย”
“ตามนั้น”
ผู้ดูแลจากตระกูลไอบันช่วยนำทางเธอ เฟเรส และอาบีน็อกซ์ไปยังห้องพักของแต่ละคน
“อีกเดี๋ยวเจอกันนะ”
หลังจากเกิดเรื่องที่ทะเลสาบเมื่อวันก่อน เฟเรสกับเธอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนมองหน้ากันไม่ติดอยู่บ้าง
ช่วยไม่ได้บรรยากาศวันนั้นมันชวนให้รู้สึกแบบนั้นอยู่เหมือนกันนี่นา
ในที่สุดก็ได้อยู่ในห้องตามลำพังเสียที เธอทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้นุ่มสบาย
“ฮู่ว สบายดีจัง”
ผู้ดูแลหญิงนามเบคกี้ที่ทางตระกูลไอบันช่วยเป็นธุระจัดหาให้ ส่งเสียงบอกเธอว่าจะไปเตรียมอ่างอาบน้ำอุ่นๆ ให้แช่
ดังนั้นก่อนที่นางคนนั้นจะกลับมา เธอก็ได้อยู่คนเดียวตามลำพังเสียที
เธอยกขาขึ้นพาดโต๊ะตัวเตี้ยที่วางอยู่หน้าเก้าอี้นวมพลางครุ่นคิด
“เจ้าตระกูลไอบันนี่ดูท่าทางจะไม่ธรรมดาเสียแล้วสิ”
* * *
การคาดเดาของเธอถูกเผง
เจ้าตระกูลไอบันเป็นคนที่รับมือได้ยากมากสุดๆ
“กระหม่อมไม่ขอรับเงินช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ”
นั่นคือคำพูดประโยคแรกที่เจ้าตระกูลไอบันเอ่ยขึ้นในทันทีที่นั่งลงบนโต๊ะอาหาร
“ท่านพ่อ!”
มิเคนเต้ตะโกนห้ามปราม แต่เจ้าตระกูลไอบันก็ไม่แม้แต่จะสะดุ้งสะเทือน
“หมายความว่าจะปฏิเสธราชโองการหรือครับ”
คำพูดของเฟเรสทำให้เจ้าตระกูลไอบันตวัดสายตาขึ้นจ้องเขาเขม็ง
ช่างแตกต่างจากเจ้าตระกูลไอบันในความทรงจำของเธอเสียจริง
ภาพลักษณ์คนใจกว้างอยู่เสมอสมกับเป็นคนทางเหนือนั่น หายไปไหนหมดแล้ว
บรรยากาศรอบตัวมีแต่จะดุดันมากขึ้นพอๆ กันกับใบหน้าที่เริ่มหยาบกร้านสมกับเป็นคนที่ผ่านเรื่องอะไรมามากมาย
“กระหม่อมหมายถึงไม่ขอรับเงินทองพ่ะย่ะค่ะ ไม้ที่ทางตระกูลลอมบาร์เดียช่วยเตรียมมาให้ หรือเสบียงช่วยเหลือจากตระกูลรูมัน ถึงแม้จะน่าละอายใจ แต่กระหม่อมขอน้อมรับเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าตระกูลไอบันโค้งศีรษะให้เธอเล็กน้อย ในขณะที่เอ่ยเช่นนั้น
“มีเหตุผลอะไรครับ” เฟเรสเอ่ยถามเสียงเย็นชา
มันไม่ใช่การตำหนิ แต่เป็นคำถามที่ถามออกไปด้วยความอยากรู้เท่านั้นจริงๆ
เจ้าตระกูลไอบันเองก็คงจะรู้สึกได้ถึงได้ยอมลดพลังที่กดข่มไปทั่วห้องลง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ในเมื่อเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของไอบัน ดังนั้นไอบันจึงอยากเป็นคนรับผิดชอบเองก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“อืมมม”
มิเคนเต้เองก็น่าจะทราบการตัดสินใจของผู้เป็นเจ้าตระกูลไอบันอยู่ก่อนแล้ว ถึงได้ไม่โต้แย้งอะไรอีก
“มีเหตุผลอะไรให้ต้องเลือกทางเดินที่ยากลำบากเช่นนั้นละครับ ยังไงนี่ก็เป็นเงินช่วยเหลือที่รวบรวมมาด้วยความเป็นห่วงเขตแดนเหนือ ลองคิดดูใหม่เถอะครับ” เฟเรสกล่าว
แต่เจ้าตระกูลไอบันก็ยังคงดึงดันส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเคย
“เรื่องรับผิดชอบเขตแดนเหนือ แค่ตระกูลไอบันเพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าตระกูลไอบันพูดเช่นนั้นแล้วก็ลุกขึ้นจากที่นั่งทันทีโดยไม่แม้แต่จะแตะต้องอาหารสักคำ
“ทันทีที่ฟ้าสางกระหม่อมจะต้องกลับออกไปอีกครั้ง คงต้องขอเสียมารยาทแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“…ตามสบายเถอะครับ”
“ขอบคุณมากที่อุตส่าห์เดินทางกันมาไกล คุณหนูลอมบาร์เดีย ท่านชายน้อยรูมัน เอาไว้ค่อยพบกันนะ”
และเจ้าตระกูลไอบันก็จากไปแบบนั้น
ท่ามกลางห้องอาหารที่เหลือเพียงความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วนใจ มีเพียงแค่เสียงถอนหายใจแผ่วเบาของมิเคนเต้เท่านั้นที่ดังขึ้น
* * *
วันถัดมา
ในระหว่างที่ช่างฝีมือจากกลุ่มก่อสร้างลอมบาร์เดียปลีกตัวไปดูกำแพงเมืองกับสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่พังทลายลงมา
เธอเองก็กำลังเดินอยู่ตามลำพังโดยไม่มีผู้ดูแลหญิงคอยตามประกบติด
สถานที่ปลายทางของเธอในวันนี้ก็คือ สาขาของร้านค้าเพลเลสที่เปิดขึ้นในเขตแดนไอบันนั่นเอง
“ท่านฟีเรนเทีย!”
ทันทีที่เปิดประตูเดินเข้าไปข้างใน เสียงคุ้นเคยก็เอ่ยต้อนรับเธอด้วยความยินดี
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ ไวโอเล็ต!”
“เดินทางมาไม่เหนื่อยเหรอคะ มีเจ็บป่วยตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะ”
ไม่ได้พบกันมาตั้งเกือบหนึ่งปีไวโอเล็ตกุมมือของเธอเอาไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะเริ่มเอ่ยถามโน่นนี่ไม่หยุด
“ข้าไม่เป็นอะไรค่ะ ไวโอเล็ตต่างหากล่ะ อยู่ในที่ห่างไกลแบบนี้คงลำบากมากเลยใช่มั้ยคะ แต่ดูเหมือนจะทำงานได้ยอดเยี่ยมมากเลยนะคะเนี่ย”
ร้านค้าเพลเลสสาขาประจำไอบันเป็นเพียงแค่สาขาเล็กๆ ก็จริง แต่มันสะอาดสะอ้านดูสบายตามาก สะท้อนให้เห็นถึงนิสัยอ่อนโยนและความเป็นระเบียบของไวโอเล็ตเลยละ
“เชิญที่ห้องทำงานดีกว่าค่ะ ท่านฟีเรนเทีย”
ห้องทำงานที่ตั้งอยู่ชั้นบนก็เหมือนกัน สมกับเป็นไวโอเล็ตชะมัด
มันเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก จนเชื่อได้ยากว่าเป็นพื้นที่ที่ถูกใช้งานอยู่ทุกวัน
ไวโอเล็ตเดินไปจัดเตรียมชามาให้ แล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ
“แล้วช่วงนี้เป็นยังไงบ้างคะ ไวโอเล็ต”
“เพราะช่วงนี้ไม่ต้องซื้อไม้แล้ว คนอื่นๆ เลยว่างกันมากจนรู้สึกละอายใจเลยละค่ะ”
“ที่ผ่านมาก็เหนื่อยกันมามากแล้ว ตอนนี้ก็พักกันเสียหน่อยเถอะค่ะ ได้ยินจากเครย์ลีบันมาว่ากลุ่มการค้าโมนัคทำให้ลำบากตั้งเยอะนี่นา”
“อา ค่ะ…” รอยยิ้มบนใบหน้าของไวโอเล็ตจางหายไปเล็กน้อย
“ทราบมาว่าท่างด้านโนเชียร์ก็พำนักอยู่ที่เมืองหลวง แล้วนี่ใครกันแน่คะ คนที่ทำให้ไวโอเล็ตต้องเผชิญปัญหาอยู่ทางเหนือแบบนี้”
“ผู้รับผิดชอบของกลุ่มการค้าโมนัค… เป็นคนที่รับมือได้ยากมากเลยค่ะ”
“รับมือยาก?”
เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินไวโอเล็ตประเมินใครสักคนแบบนั้น
“คงจะเป็นประเภทใช้ความคิดสินะคะ”
“ไม่ค่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นคงจะไม่ต้องแข่งกันอย่างทุลักทุเลขนาดนั้น…”
ไวโอเล็ตยิ้มขมขื่นเล็กน้อยพลางเอ่ยขึ้นว่า
“กลับกลายเป็นคนที่ห่างไกลจากการเล่นแง่หรือวางกับดักให้ตกหลุมพรางมากเลยค่ะ ถึงแม้จะยังเด็ก แต่ไม่มีที่ไหนเลยที่ไม่ไปร่วมการประมูลไม้ด้วยตัวเอง เป็นประเภทวิ่งเต้นละมั้งคะ”
“หมายความว่าเป็นคนขยันเหรอคะ มากขนาดทำให้ไวโอเล็ตลำบากเลย?”
“ค่ะ จะบอกว่าขยันเฉยๆ มันก็แบบ…บอกว่าเป็นคนที่กระตือรือร้นอย่างรุนแรงน่าจะเหมาะกว่าละมั้งคะ”
กระตือรือร้นอย่างรุนแรง?
ในบรรดาคนที่เธอรู้จัก ถ้าหากไวโอเล็ตบอกว่าตัวเองขยันขันแข็งเป็นอันดับสองแล้วละก็ คงไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองเป็นอันดับหนึ่งแน่
เรียกได้ว่าสูสีกับท่านปู่ที่ตื่นนอนตั้งแต่รุ่งสาง และทำงานจนถึงดึกดื่นเลยทีเดียว
แต่ไวโอเล็ตถึงกับประเมินอีกฝ่ายออกมาได้แบบนั้นเลยเหรอ
“ผู้หญิงคนนั้นมีความกล้าในการประมูลด้วยค่ะดังนั้นงานประมูลที่ข้าไม่ได้ไปร่วมด้วยตัวเองทุกงาน เลยถูกกลุ่มการค้าโมนัคแย่งชิงไปทั้งหมดเลยค่ะ”
“ผู้หญิงอย่างนั้นเหรอคะ ตัวแทนจากกลุ่มการค้าโมนัค”
“ค่ะ เป็นหญิงสาวนามว่าราโมนาค่ะ ดูจากที่ไม่มีนามสกุลแล้ว น่าจะเป็นสามัญชนนะคะ”
“คนคนนั้น…ชื่ออะไรนะคะ”
“ราโมนาค่ะ ท่านฟีเรนเทีย”
ราโมนา
ชั่วขณะเมื่อได้ยินนามที่รู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย ก็พลันเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างในใจร่วงหล่นลงเสียงดังตึง