เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 147.2
เฟเรสเพียงแค่กล่าวขอบคุณราโมนาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ได้ใส่อารมณ์ความรู้สึกใดๆ ลงไปแม้แต่น้อย
“เพราะพวกเราซื้อไม้ได้อย่างราบรื่นเป็นอย่างดี ถึงทำให้สามารถรีดไถเงินทองจากพวกอังเกนัสมาได้”
“โล่งอกที่หม่อมฉันพอจะเป็นประโยชน์ได้บ้างเพคะ เจ้าชาย”
“ข้าก็โล่งอกเช่นกันที่มีคนไว้ใจได้ทำงานให้เช่นเจ้าอยู่ข้างกาย”
คราวนี้ใบหูของราโมนากลายเป็นสีแดงก่ำเหมือนสีของเส้นผมนางเสียแล้ว
แต่เฟเรสกลับไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมองราโมนา เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“เจ้าตระกูลไอบันเป็นคนยังไง”
รามาโนครุ่นคิดไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำถามของเฟเรส แล้วจึงเอ่ยตอบออกไปตามตรง
“เป็นชนชั้นสูงทางเหนือแบบดั้งเดิมเพคะ ถึงแม้จะใจกว้างต่อพลเมืองและคนของตัวเอง แต่ก็เป็นพวกหัวแข็งไม่เปิดรับคนนอก เดิมทีอาจจะมีนิสัยใจกว้างเป็นอย่างมากก็จริง แต่ระยะหลังมานี้ต้องทรมานกับโรคเรื้อรัง ทำให้นิสัยเริ่มเปลี่ยนไปเพคะ”
“นิสัยเปลี่ยนอย่างนั้นหรือ”
“มีเรื่องอะไรกับเจ้าตระกูลไอบันเหรอเพคะ”
“เขาบอกว่าจะไม่ขอรับเงินช่วยเหลือน่ะสิ”
“…เพคะ?” ราโมนาถามกลับไปด้วยความตกใจ
“พูดให้ถูกก็คือ จะไม่รับเงินของราชวงศ์นั่นแหละ เพราะก็ยอมรับของที่ทางลอมบาร์เดียกับทางรูมันจัดเตรียมมาให้เอาไว้ทั้งหมด”
“แต่…ไม่เข้าใจเลยเพคะ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ทางเหนือต้องการความช่วยเหลือทุกอย่างที่สามารถคว้าไว้ได้แท้ๆ แล้วทำไม”
“หรือระดับความเสียหายจะน้อยกว่าที่พวกเราคาดการณ์ไว้”
คำถามของเฟเรสทำให้ราโมนาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ
“แค่เฉพาะเขตแดนไอบันตอนนี้กำแพงป้อมปราการก็พังลงมา ไหนจะทหารยามที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ข้างบนนั้นที่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมากอีก บ้านเรือนรอบๆ กำแพงเองก็ถูกฝังกลบด้วยเพคะ ตอนนี้มีคนมากมายสูญเสียบ้านไป ได้แต่นอนอยู่ในเต็นท์เฝ้ารอการบูรณะกันอยู่ แล้วทำไมเจ้าตระกูลไอบันถึงได้…”
“พาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่”
เฟเรสเอ่ยถามราโมนา
“ไม่สิ ข้าเองก็พอจะรู้จักที่ทางในไอบันอยู่บ้างเหมือนกัน แค่บอกว่ามันอยู่ตรงส่วนไหน…”
“หม่อมฉันจะพาไปเองเพคะ”
ราโมนารีบลุกขึ้นจากที่นั่ง ในขณะที่เสนอตัวอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าเฟเรสจะเปลี่ยนใจเสียก่อน
“ขอบใจ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะ ราโมนา”
เฟเรสคลุมฮู้ดปิดใบหน้าอีกครั้ง
บริเวณที่กำแพงพังลงมานั้นอยู่ไม่ไกลจากตลาดเท่าไหร่นัก
เฟเรสหยุดยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าบริเวณดังกล่าว
กำแพงป้อมปราการซึ่งสร้างจากหินก้อนใหญ่ดูแข็งแกร่งที่เขตแดนไอบันภาคภูมิใจนักหนา กลับกลายเป็นเศษซาก กองอยู่บนพื้นดินอย่างไร้ค่า
กุกกัก!
ปลายเท้าของเฟเรสกระทบเข้ากับเศษซากอะไรบางอย่าง
มันเป็นเศษจานเซรามิกทั่วไป
เฟเรสเงยหน้าขึ้นมองกองดินขนาดยักษ์ที่ทับถมลงมาจนทำให้กำแพงเมืองพังราบเป็นหน้ากลอง
“ข้างใต้นั่น…”
“เพคะ มันเป็นสถานที่ที่บ้านเรือนของสามัญชนเคยตั้งอยู่เพคะ”
ธรรมชาติช่างโหดร้ายเสียจริง
เศษซากของภูเขาที่พังลงมาทับกำแพงเมืองไอบันตรงบริเวณนี้มันใหญ่มาก ถ้าหากมีต้นไม้เขียวชอุ่มตั้งตระหง่านอยู่ละก็ หากใครมาบอกว่าตรงนี้เดิมทีเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ก่อนแล้ว เขาก็คงจะยอมเชื่ออย่างไม่สงสัยเลยทีเดียว
ใหญ่มากเสียจนฝังกลบร่องรอยของผู้คนที่เคยใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไว้ใต้นั้นเสียจนมิด
“ว่าแต่ทำไมถึงได้เงียบแบบนี้ล่ะ”
เป็นเรื่องแปลกพิกลสมควรที่จะรีบขุดดินแล้วยกหินออกไปแท้ๆ แต่รอบๆ นั่นกลับมีแค่คนไม่กี่คน
เท่าที่เห็นตอนนี้ มากสุดก็มีแค่ทหารกลุ่มเล็กๆ จำนวนสามสี่คน กำลังใช้เกวียนขนดินที่ถูกขุดขึ้นมาออกไปเท่านั้นเอง
“นอกจากบริเวณนี้แล้ว ยังมีอีกกำแพงถล่มลงมาอีกที่เพคะ แต่ทางด้านนั้นเป็นจุดสำคัญใกล้ป่าที่มีมอนสเตอร์อยู่มาก แรงงานคนแทบจะทั้งหมดจึงไปกองกันอยู่ทางด้านนั้นเสียส่วนใหญ่”
“…อย่างนั้นนี่เอง”
เฟเรสยืนเหม่อมองทัศนียภาพอันแสนโหดร้ายตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
ราโมนาเอียงคอเล็กน้อย พยายามลอบมองใบหน้าของเฟเรส
เพราะเขาเป็นประเภทพูดน้อยมาก ทั้งยังไม่ค่อยแสดงความรู้สึกออกทางสีหน้า
บางครั้งถ้าหากไม่ใช้เวลาสักหน่อยมองสำรวจใบหน้าของเฟเรส ก็จะไม่อาจมองลึกเข้าไปถึงจิตใจของเขาได้เลย
แน่นอนว่าถึงจะทำเช่นนั้น นางเองก็ล้มเหลวมาแล้วหลายรอบ เรียกได้ว่าอ่านความรู้สึกของเขาออกแค่สองในสิบ อีกแปดส่วนนั้นล้วนไม่สำเร็จทั้งสิ้น
ในตอนนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นมาจากไม่ไกลนัก
“ฮึก ฮือ…”
สายตาของทั้งสองคนหันไปมองทางด้านนั้นโดยอัตโนมัติ
ตรงบริเวณนั้นมีเด็กผู้ชายตัวเล็กคนหนึ่งกำลังนั่งคู้กายอยู่ใต้อาคารที่ยังเป็นปกติดี
ดูแล้วน่าจะเพิ่งอายุได้แค่ประมาณเจ็ดขวบละมั้ง
เด็กน้อยมีสภาพมอมแมมสกปรกไปทั้งตัว เขาเอาแต่มองซากปรักหักพังด้วยนัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา
ราโมนาเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นอย่างระมัดระวัง นางเช็ดหยาดน้ำตาที่เลอะเปรอะทั่วใบหน้าให้ พลางเอ่ยถาม
“เด็กน้อย ทำไมมาร้องไห้อยู่ตรงนี้ล่ะ”
“หิวครับ…”
ชะงัก
ราโมนาผงะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยกมือขึ้นลูบหัวเด็กน้อย ในขณะเดียวกันก็เอ่ยปลอบด้วยเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง
“งั้นหรือ งั้นไปซื้อของอร่อยๆ ที่ร้านขนมปังข้างหน้านี่กับพี่สาวเอามั้ย มันไม่ไกลเลยนะ พ่อแม่คงไม่เป็นห่วงนัก”
“พ่อกับแม่ไม่อยู่ที่นี่ครับ”
เด็กน้อยใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา
“พ่อไปทำงานที่กำแพงเมืองฝั่งเหนือ ส่วนแม่…”
นัยน์ตาของเด็กน้อยเหม่อมองกองดินตรงหน้าโดยไม่พูดอะไร
ทั้งบ้านของเด็กคนนี้ ทั้งแม่ของเขา ต่างก็ถูกฝังอยู่ที่ไหนสักแห่งตรงนั้นสินะ
“อา…”
ราโมนาพูดอะไรไม่ออก นางคว้าไหล่ของเด็กคนนั้นเข้ามาโอบกอดเอาไว้แน่น
เฟเรสมองภาพนั้นก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“เด็กน้อย รอตรงนี้แป๊บหนึ่งนะ!”
ราโมนากล่าวกับเด็กน้อยเช่นนั้น แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามหลังเฟเรสไป
นางอาจจะไม่มีความสามารถพอที่จะอ่านความรู้สึกของเฟเรส แต่ตอนนี้นางสามารถรู้ได้
ว่าคนที่กำลังเดินนำหน้านางในตอนนี้กำลังโมโหมากแค่ไหน
“ถะ ถ้ามีเรื่องใดที่หม่อมฉันสามารถช่วยเหลือได้ละก็!”
“ไม่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวได้”
แต่คำตอบของเฟเรสที่ตอบกลับมากลับยืนกรานหนักแน่น
งานของกลุ่มการค้ากับงานในฐานะเจ้าชายเป็นคนละเรื่องกันอย่างแน่นอน
ราโมนาตระหนักขึ้นมาได้ว่านางกำลังข้ามเส้น จึงรีบขอโทษทันที
“…ขออภัยเพคะ”
เฟเรสส่ายศีรษะด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ช่างเถอะ หากจบงานทางเหนือแล้วเจ้าก็กลับไปเมืองหลวงเสีย ถึงตอนนั้นข้าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า”
เฟเรสเหลือทิ้งท้ายไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น แล้วสาวเท้าก้าวพรวดตรงกลับไปยังคฤหาสน์ไอบันทันที
ราโมนาเหม่อมองภาพด้านหลังของชายหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปหาเด็กน้อย นางยิ้มกว้างดูสดใสมากกว่าที่เคย พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ไปกันเถอะ พี่สาวจะเลี้ยงขนมปังเองนะ!”
แต่ในขณะที่จับมือเด็กน้อยพาเดินตรงไปยังตลาด สายตาของราโมนาก็ยังคงเหม่อมองภาพด้านหลังของเฟเรสไม่ละสายตา