เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 148.2
เธอเดินทางมายังไอบันได้สิบวันแล้ว
ที่ผ่านมาเธอยุ่งอยู่กับการพาตัววิศวกรของลอมบาร์เดียไปยังสถานที่ที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และแบ่งสันปันส่วนช่วยแจกจ่ายไม้ที่ซื้อมาจากร้านค้าเพลเลสไปทั่วเขตแดนเหนือ
และวันนี้ก็ยังคงยุ่งจนแทบไม่มีสติ ไวโอเล็ตถือดอกไม้มาหาเธอถึงคฤหาสน์ตระกูลไอบัน แสร้งทำเหมือนมาเยี่ยมเยียนเป็นการส่วนตัว และกำลังรายงานเรื่องของร้านค้าเพลเลสให้เธอฟัง
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปพวกเราจะเปิดประตูโกดังแห่งที่สองค่ะ ในจำนวนนั้นจะแบ่ง 50 ต้นให้ไอบัน ส่วนที่เหลือจะแจกจ่ายไปให้เขตแดนรอบๆ จำนวน 130 ต้นค่ะ”
“ดูเหมือนจะเปิดโกดังช้ากว่าที่วางแผนไว้นะคะ”
“ขาดแรงงานคนที่จะขนย้ายต้นไม้น่ะค่ะ”
“ถ้าจ้างแรงงานมาจากที่อื่น คงจะดำเนินการได้เร็วกว่านี้มากแท้ๆ ถึงแม้จะแพงหน่อย เพราะอยู่ในช่วงฤดูเพาะปลูกก็เถอะ”
“ได้ยินว่าเขตแดนโจนิกที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของไอบัน จะจ้างแรงงานมาเพิ่มจากทางตอนกลางตั้งแต่วันนี้ไปค่ะ”
“เหรอคะ หรือจะมีเงินเหลืออยู่บ้าง”
ในสถานการณ์ที่เจ้าตระกูลไอบันเอาแต่ยืนกรานที่จะไม่รับเงินช่วยเหลือจากราชวงศ์ การมีเขตแดนที่สามารถจัดการฟื้นฟูบ้านเมืองได้เร็วขึ้นหน่อย ถึงจะแค่เขตแดนเดียวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ดี
ในตอนนั้นเอง สายลมเย็นก็พัดผ่านหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้เข้ามาในห้อง จนร่างกายรู้สึกหนาวเย็นเล็กน้อย
“อากาศทางเหนือเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้วสินะคะ ไวโอเล็ต”
“หมดหน้าร้อนแล้ว ไม่นานอากาศก็จะหนาวขึ้นแบบนี้ทันทีเลยละค่ะ จะไปไหนก็สวมเสื้อผ้าให้หนาเข้าไว้นะคะ ท่านฟีเรนเทีย”
“แค่นี้ท่านพ่อก็ส่งเสื้อผ้าหนาๆ จากร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮันสาขาไอบันมาให้มากขนาดนั้นแล้วค่ะ”
เธอชี้ไปยังเสื้อผ้ากองหนึ่งเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบทางฝั่งหนึ่งของห้องนอน
“แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดนะคะ เห็นว่าพรุ่งนี้เช้าจะมีส่งมาให้อีกรอบ”
พอเธอพูดแบบนั้น ไวโอเล็ตก็หัวเราะเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ท่านแคลอฮันเองก็คงจะเป็นห่วงมากเลยสินะคะเนี่ย นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านฟีเรนเทียออกมาค้างนอกลอมบาร์เดียไม่ใช่หรือคะ”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ อีกไม่กี่วันก็จะเดินทางกลับลอมบาร์เดียแล้วแท้ๆ นี่ต่อให้ใส่วันละตัวยังเหลือเฟือเลยไม่ใช่เหรอ”
เธอพูดเช่นนั้นก่อนจะเดินไปหยิบเดรสที่เลือกเอาไว้แล้วจากบรรดาเดรสที่ท่านพ่อส่งมาให้ขึ้นมาถือไว้
มันเป็นเดรสผ้าไหมสีกุหลาบเข้มประดับไปด้วยผ้าลูกไม้บางๆ สีดำ ช่วยทำให้นัยน์ตาสีเขียวของเธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น
ต้องเปลี่ยนชุดแล้ว
“ข้าช่วยนะคะ ท่านฟีเรนเทีย”
“ได้เหรอคะ ขอบคุณค่ะ ไวโอเล็ต แค่ช่วยข้าใส่ชุดเดรสก็พอค่ะ”
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความช่วยเหลือของไวโอเล็ต เธอก็เดินไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อเลือกเครื่องประดับที่ดูเข้าชุด
“อืมม ไม่รู้ทำไมถึงเป็นอันนี้ที่เหมาะเสียได้นะเนี่ย”
เครื่องประดับที่เธอเลือกคือ กิ๊บติดผมทับทิมที่เฟเรสเคยให้เป็นของขวัญเมื่อนานมาแล้ว
“ทำไมหรือคะ ท่านฟีเรนเทีย”
“กิ๊บติดผมชิ้นนี้น่ะค่ะ มันเข้ากับเดรสตัวที่สวมอยู่ตอนนี้มากเลยใช่มั้ยล่ะคะ”
“จริงด้วยค่ะ เหมือนกับเครื่องประดับที่สร้างขึ้นมาเป็นคู่กันเลยค่ะ”
แต่งานเลี้ยงมื้อเย็นวันนี้เฟเรสก็จะมาด้วยนี่นา
นั่นคือความคิดแรกที่เกิดขึ้น เธอใช้ปลายนิ้วลูบกิ๊บติดผม และในที่สุดก็เสียบมันลงบนผมของตัวเอง
มันออกจะดูเข้ากันดีขนาดนี้ ถ้าจงใจไม่ใช้ก็ออกจะแปลกไปหน่อยไม่ใช่หรือไง
“ถ้าอย่างนั้นไว้พรุ่งนี้ค่อยพบกันที่ร้านค้าเพลเลสนะคะ ไวโอเล็ต”
หลังจากเช็กดูว่าใกล้ถึงเวลาเริ่มงานเลี้ยงมื้อเย็นแล้ว เธอก็กล่าวลาไวโอเล็ต จากนั้นก็หมุนประตูลูกบิดเปิดประตูห้องนอนออกไป
ทันใดนั้น
“อ๊ะ?”
สบตาเข้ากับเฟเรสที่อยู่ตรงหน้าห่างกันแค่ปลายจมูกกั้น เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นคล้ายกับกำลังจะเคาะประตูห้องพอดี
“สวัสดี เฟเรส”
เธอเอ่ยทักทายเสียงเรียบเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
แต่เฟเรสกลับมีสีหน้าเหมือนตกใจอะไรบางอย่าง
นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นเอาแต่มองหน้าเธอ ก่อนที่จะคลายตัวคลี่ยิ้มแปลกพิกล
“…สวัสดี เทีย”
เฟเรสเงียบไม่พูดไม่จาอยู่หลายวินาที ก่อนจะเปิดปากพูดทักทายช้าไปหนึ่งจังหวะ
“ข้ามาเชิญเจ้า”
“อืม เหรอ ขอบใจนะที่ดูแลกัน”
“คนคนนั้นคือ…”
เฟเรสมองไวโอเล็ตผ่านประตูห้องของเธอที่เปิดค้างไว้แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“คนของร้านค้าเพลเลสใช่มั้ย”
ท่าทางจะรู้อยู่แล้วว่าไวโอเล็ตเป็นใคร
“นางรู้มาว่าข้ามาที่เขตแดนไอบัน ก็เลยแวะมาทักทายน่ะ พอดีเห็นกันมาตั้งแต่ยังเด็กเลยค่อนข้างสนิทสนมกัน”
“อย่างนั้นนี่เอง”
เฟเรสพยักหน้าลง ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกมาหาเธอแทนความหมายของการเชื้อเชิญ
เธอก้มหน้ามองมือข้างนั้นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความลังเล
มันก็แค่การเชื้อเชิญกันเท่านั้นเองแท้ๆ
แต่หัวใจที่เต้นแรงตั้งแต่ตอนที่ได้สบตากับเฟเรสเมื่อครู่นี้ มันกลับยิ่งเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงมากกว่าเดิมเสียอีก
หัวสมองพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบขึ้นมาอย่างไร้เหตุผลเสียได้
อุณหภูมิของเฟเรสที่รู้สึกได้ผ่านผิวหนังที่สัมผัสกัน เสียงทุ้มต่ำของเขา นัยน์ตาสีแดงเข้มที่มองหน้าเธอในคืนนั้น มันเด่นชัดอยู่ตรงหน้าเหมือนเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้
และเรือนร่างอันแสนงดงามของเฟเรสภายใต้แสงจันทร์…
ลามก! คิดลามกอันใด!
เธออดกลั้นความคิดที่อยากจะสะบัดศีรษะไล่ความคิดพวกนั้นออกจากหัว ในขณะที่แสร้งฉีกยิ้มผ่อนคลายราวกับไม่รู้สึกอะไร พร้อมกับยื่นมือออกไปจับมือของเฟเรสเอาไว้
พวกเราเดินไปบนโถงทางเดินโดยไม่ได้สนทนาอะไรกันสักคำ
บรรยากาศน่ากระอักกระอ่วนจึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
บางครั้งก็รับคำทักทายจากลูกจ้างตระกูลไอบันที่บังเอิญเจอกันตามทาง
ไม่สิ บางทีอาจจะมีแค่เธอคนเดียวก็ได้ที่รู้สึกกระอักกระอ่วน
เพราะเฟเรสเอาแต่เหม่อมองใบหน้าด้านข้างของเธอที่มองตรงไปข้างหน้าไม่ยอมละสายตาอยู่นี่นา
“อ๊ะ ถึงแล้วละ”
โล่งอกที่ระยะทางจากห้องของเธอมาจนถึงห้องอาหารมันไม่ได้ไกลอะไรมากนักถึงมันจะคนละปัญหากับเรื่องของความรู้สึกก็เถอะ
“ไม่ไกลเท่าไหร่เนอะ”
เธอพูดสั้นๆ ตั้งใจจะปล่อยมือจากเฟเรส
“…เฟเรส?”
แต่มือของเขากลับไม่ยอมปล่อยมือของเธอแถมยังกุมเอาไว้แน่นกว่าเดิมอีกด้วย
“ตะ ต้องเปิดประตูห้องอาหารก่อน…”
“เทีย”
พอเห็นว่าเธอยืนกรานพยายามจะดึงมือออกอีกรอบ เฟเรสก็รีบเรียกเธอไว้ พลางขยับกายเข้ามาใกล้เธออีกก้าว
คราวนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ตรงหน้าปลายจมูกของเธอแล้ว
“ใช้กิ๊บติดผมที่ข้าให้ด้วยเหรอ” เสียงดังข้างใบหูทำเอาเธอตกใจจนไหล่สะดุ้งเฮือกโดยไม่รู้ตัว
“กะ ก็มันสวยไม่ใช่เหรอ! ปกติข้าก็ใช้อยู่ประจำนั่นแหละ!”
“งั้นหรือ ดีใจจัง”
เฟเรสยิ้มมันเป็นรอยยิ้มเหมือนที่เคยเห็น รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเด็กหนุ่มที่มีแต่มุมปากข้างหนึ่งกระตุกขึ้นแต่วันนี้รอยยิ้มนั่นทำไมถึงได้ดูมีเสน่ห์กว่าที่เคยล่ะเนี่ย!
เธอหลุบสายตาลงล่าง ไม่อาจทนมองใบหน้าของเฟเรสได้อีกต่อไปแล้ว
“…เอ๋?”
และเธอก็ต้องตกใจอีกรอบ
ไม่สิ คราวนี้เธอตกใจมากจริงๆ จนเทียบกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้เลย
เพราะตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่มือของเธอเองก็จับมือของเฟเรสเอาไว้แน่นเหมือนกัน
ราวกับไม่อยากปล่อยให้มือใหญ่อันแสนอบอุ่นนี่หลุดไปจากมือเลย