เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 149.1
ตอนที่ 149
มือเธอนี่มัน!…บ้าไปแล้วเหรอ
ทำไมถึงได้อยากจะจับมือของเฟเรสเอาไว้ขนาดนั้นล่ะ
หัวใจของเธอ นี่ก็บ้าไปด้วยแล้วหรือไง
ทำไมถึงได้เต้นกระหน่ำขนาดนี้ล่ะเนี่ย!
แต่แล้วในตอนที่เธอกำลังจะสติแตก เพราะอวัยวะของร่างกายที่ดันทำงานไม่สัมพันธ์กับความคิดของตัวเอง
“เทีย” แค่เพียงเท่านั้นเอง
เฟเรสก็แค่เรียกชื่อเธอออกมา
ตึกตัก ตึกตัก
แต่นั่นกลับทำให้หัวใจของเธอยิ่งเต้นแรงผิดจังหวะ
และนัยน์ตาของเธอก็เอาแต่มองใบหน้าของเฟเรสอยู่เรื่อย
ไม่สิ พูดให้ถูกคือ จ้องมองริมฝีปากนั่นต่างหาก
ราวกับถูกแม่เหล็กดึงดูดเข้าหา เอาแต่เหม่อมองริมฝีปากของเขาอยู่อย่างนั้น
เฟเรสเองก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นของเธออย่างเห็นได้ชัด
สายตาของเขาที่จับจ้องมาที่สายตาของเธอมันร้อนรุ่มราวกับไฟ
เธอได้แต่ยืนนิ่งไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ราวกับถูกสายตาของเขาสะกดเอาไว้
ฟึบ
ปลายนิ้วของเด็กหนุ่มฉวยจังหวะที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัว แทรกเข้ามาในเรือนผมของเธอส่วนมืออีกข้างประสานกอบกุมมือของเธอเอาไว้
“…หึ”
ครั้งนี้เองก็เหมือนกัน
เพียงแค่ใกล้ชิดกันเกินไปหน่อยแค่นั้นแท้ๆ แต่เธอกลับไม่อาจผลักไสเขาออกไปได้
“เกินไปแล้ว…”
หล่อเกินไปแล้วไม่ใช่หรือไง
ใช่แล้ว ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาของเฟเรสนั่นแหละ
เธอหลับตาทั้งสองข้างแน่นก่อนอื่นคงต้องไม่เห็นหน้าเฟเรส สติของเธอถึงจะกลับมาเป็นปกติได้ละมั้ง
“ฟะ เฟเรส”
“…อื้อ?”
เธอผิดไปแล้วสินะพอหลับตาลง กลับกลายเป็นยิ่งทำให้เสียงของเฟเรสเด่นชัดขึ้นจนขนลุกชัน
เธอลืมตาขึ้น พยายามรวบรวมสติของตัวเองที่คราวนี้หล่นลงไปกองอยู่กับพื้นจนไม่เหลือแล้วจริงๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเราทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“แบบนี้คืออะไรเหรอ”
“อ๊า ก็รู้ไม่ใช่เหรอ!แบบนี้น่ะ!”
เธอยกมือที่ยังคงจับประสานกันเอาไว้ขึ้นมา ก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“เจ้ามีคนที่คบหากันอยู่ไม่ใช่หรือไง! ขะ ข้าไม่ได้มีนิสัยแย่ขนาดจะแย่งผู้ชายที่มีเจ้าของแล้วหรอกนะ!”
นะ นะ นะ…
เสียงตะโกนของเธอดังก้องสะท้อนไปทั่วโถงทางเดิน
เฟเรสก้มหน้ามองเธอ คิ้วเข้มขมวดลงเล็กน้อย
“…คนที่คบหา?”
เสียงทุ้มต่ำดูจะแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจอะไรบางอย่าง
เฟเรสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเธอ
“…เจ้า?”
“ไม่สิ ไม่ใช่ข้า!คะ คนนั้น…”
เฟเรสไม่รู้ว่าเธอรู้เรื่องราโมนา
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอรู้กระทั่งเรื่องที่เฟเรสเกี่ยวข้องกับกลุ่มการค้าโมนัคตั้งแต่แรก
ถ้าหากเฟเรสเกิดถามเธอขึ้นมาตรงนี้ว่า ‘เจ้ารู้เรื่องราโมนาได้ยังไง’ แล้วเธอจะตอบออกไปอย่างไรดีล่ะ
จะตอบไปว่า ‘อันที่จริงไวโอเล็ตที่แข่งกันแย่งชิงต้นทรีบ้ากับราโมนาอย่างดุเดือด เป็นคนของข้าเองแหละ’ หรือจะตอบว่า ‘อันที่จริงข้าเดินทางย้อนเวลามาจากอนาคตที่เจ้ากับราโมนาเป็นคู่รักแห่งอาณาจักรไง’
สุดท้ายเธอก็ได้แต่ถามคำถามออกไปแทน
“ผะ ผู้หญิงที่พบกันที่อะคาเดมี?”
“ไม่มีหรอก เรื่องแบบนั้น” เฟเรสตอบทันที
“แต่ก็มีเพื่อนร่วมคลาสผู้หญิงที่พบกันที่อะคาเดมีอยู่เหมือนกัน”
มือที่ประสานกันบีบแรงขึ้นเล็กน้อยด้วยความลุ้นระทึก
“ไม่มี…?”
“ไม่มี” เฟเรสยืนกรานหนักแน่น
ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าเขาจะไม่ได้โกหกจริงๆ
ไม่สิ เดิมทีเฟเรสก็ไม่เคยโกหกเธออยู่แล้ว
จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาเหนือความเชื่อใจ เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
ถ้างั้นหรือว่าความสัมพันธ์ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความโล่งอกที่ช่วยให้ใจรู้สึกปลอดโปร่ง
ในตอนนั้นเอง ใครบางคนก็เอ่ยเรียกพวกเราจากอีกฟากของโถงทางเดิน
“เจ้าชายท่านฟีเรนเทีย”
อาบีน็อกซ์ส่งยิ้มสดใสเบิกบานทั่วใบหน้า
“ไม่เข้าไปข้างใน ทำอะไรกันอยู่หรือครับ”
เธอหมุนตัวหันไปทางฝั่งที่อาบีน็อกซ์กำลังเดินมา สะบัดมือที่จับมือของเฟเรสเอาไว้ทิ้งอย่างรวดเร็ว
รู้สึกได้ถึงสายตาของเฟเรสที่ยังคงมองเธอจากด้านข้าง
“พอดีหยุดคุยกันครู่หนึ่งก่อนจะเข้าไปข้างในค่ะ คุณอาบีน็อกซ์”
“อย่างนั้นหรือครับ เช่นนั้นถ้าสนทนาจบแล้ว เข้าไปข้างในพร้อมกันเลยดีมั้ยครับ”
“เอาอย่างนั้นหรือคะ”
เธอสะกิดแขนเฟเรส ส่งสายตาให้เขาเป็นนัยๆ บอกให้เข้าไปข้างในกันได้แล้ว
“…อืม”
เธอเดินเข้าไปในงานเลี้ยงมื้อเย็นโดยมีเฟเรสเดินตามมาทางด้านซ้าย ส่วนด้านขวาถูกประกบด้วยอาบีน็อกซ์
แต่ในหัวสมองของเธอตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความคิดเพียงเรื่องเดียว
ทำไมเธอถึงได้รู้สึกโล่งใจกันนะ
* * *
งานเลี้ยงมื้อเย็นจบลงในเวลาอันแสนสั้น
วันนี้เจ้าตระกูลไอบันก็ยังคงไม่มาร่วมโต๊ะเหมือนเคย บุตรชายอย่างมิเคนเต้จึงคอยดูแลพวกเราแทน
แต่หลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว มิเคนเต้ ไอบันเองก็ไม่ได้รั้งรออยู่ร่วมโต๊ะนานนัก
เขาสนทนาเรื่องอะไรบางอย่างกับเฟเรสในมุมหนึ่งเพียงครู่เดียว หลังจากนั้นก็กล่าวลาบอกให้พวกเรา ‘พักผ่อนกันตามสบาย’ แล้วก็ปลีกตัวไปจากงานเลี้ยงทันที
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน…”
เธอเองก็รู้สึกเหนื่อยมาก เพราะเอาแต่กระวนกระวายใจเรื่องของเฟเรสอยู่เรื่อย
เธอวางผ้าเช็ดปากลงบนโต๊ะ เปิดปากพูดขึ้นด้วยตั้งใจจะปลีกตัวลุกออกไปจากโต๊ะ
หมับ
ใครบางคนจับมือของเธอที่ยังไม่ทันได้วางผ้าเช็ดปากลง
“…ท่านอาบีน็อกซ์?”
“ท่านฟีเรนเทีย…”
ใครเอาเหล้าให้เด็กนี่ล่ะเนี่ยอาบีน็อกซ์เมาจนตาเยิ้ม ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้าและซ้ำร้ายไปกว่านั้น
“…ฮึก”
ใครกัน! ใครมันกล้าเอาเหล้าให้เด็กนี่ดื่ม!
นัยน์ตาของอาบีน็อกซ์เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาและค่อยๆ ไหลหล่นลงมา เขากำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น
แตกต่างจากปกติที่มักจะมีภาพลักษณ์สดใสดั่งดวงอาทิตย์อย่างสุดขั้ว
แบบนี้มีแต่จะยิ่งน่ารำคาญใจไม่ใช่หรือไงกัน
ไอ้ท่าทางร้องห่มร้องไห้เป็นลูกหมาหงอยนี่ ดูยังไงก็เป็นเสียงร้องคร่ำครวญอยากได้คนให้คำปรึกษาชัดๆ !