เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 149.2
“ท่านอาบีน็อกซ์อย่าให้ตอนเช้าสร่างเมาแล้วต้องเสียใจจนเตะผ้าห่มเลยนะคะ รีบกลับห้อง…”
“ข้าควรจะทำยังไงดีครับ ท่านฟีเรนเทีย” ดูเหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่งจนได้
“ข้าชอบนางมากจริงๆ แต่ไม่รู้แล้วครับว่าจะต้องทำยังไง”
อาบีน็อกซ์เริ่มพร่ำเพ้อออกมาไม่หยุดเสียแล้ว
“คือ…ท่านอาบีน็อกซ์คะ ข้าจะช่วยรับฟังเองนะคะ เพราะฉะนั้นปล่อยมือก่อนเถอะค่ะ”
“นางเกลียดข้าหรือเปล่าครับ”
เธอจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะว่าผู้หญิงคนนั้นชอบเขาหรือไม่ชอบ แต่ถ้านางได้มาเห็นสภาพอ่อนปวกเปียกร้องห่มร้องไห้จนน้ำตาท่วมของเจ้าตอนนี้ละก็ คงได้พาลเกลียดขี้หน้าเจ้าจริงๆ แน่
และก่อนที่เธอจะดึงมือออกเพียงเสี้ยววินาที
ตึก ตึก
เฟเรสที่ปลีกตัวออกไปจากโต๊ะเพื่อไปเอาเค้กชิ้นหนึ่งกลับมา เพราะคำพูดของเธอที่บอกเขาว่าเค้กที่ออกมาเป็นของหวานหลังอาหารดูน่าอร่อย ได้เดินกลับมาที่โต๊ะแล้ว
และเขาก็กระชากมือของอาบีน็อกซ์ออกจากมือของเธออย่างหยาบคาย โดยที่เธอไม่ทันได้เอ่ยปากห้าม
“อ๊ะ!”
อาบีน็อกซ์สะดุ้งด้วยความตกใจ เขามองเธอสลับกับเฟเรสที่จ้องหน้าเขาด้วยนัยน์ตาคมกริบ ก่อนจะรีบขอโทษขอโพยทันที
“ขะ ขอโทษครับ ท่านฟีเรนเทีย ข้าผิดไปแล้ว” ท่าทางตอนนี้คงจะสร่างเมาแล้วสินะ
“ไม่เป็นไรค่ะ ท่านอาบีน็อกซ์” เธอยิ้มไม่คิดกล่าวโทษอะไรอีกฝ่าย
แต่ดูเหมือนอาบีน็อกซ์จะเข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ นั่น ผิดไปเล็กน้อย
“ข้ามีเรื่องกลุ้มใจ ไม่ทราบว่าจะช่วยรับฟังได้มั้ยครับ”
“เรื่องกลุ้มใจอะไรคะ… ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าข้าจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า”
พูดถึงขนาดนั้นแล้ว จะไม่รับฟังก็ไม่ได้ไม่ใช่หรือไงกัน
“ข้า…มีหญิงสาวที่ชอบครับ”
เธอกินเค้กที่เฟเรสช่วยเป็นธุระไปหยิบมาให้ไปพลาง ฟังเรื่องเล่าของอาบีน็อกซ์ไปพลาง
“ผู้หญิงคนนั้น ดูเหมือนนางเองก็ไม่ทราบหรอกครับว่าข้าชอบนาง ไม่สิ อาจจะทราบอยู่แล้วก็ได้ ข้าไม่แน่ใจเลยครับ”
“พูดอะไรแบบนี้กัน”
“ครับ”
เธอดันหลุดพูดความคิดในใจออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ปะ เปล่าค่ะ คือแบบว่า ถ้าเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างชัดเจน บางทีข้าอาจจะพอให้คำปรึกษาเรื่องที่กลุ้มใจนั่นได้นะคะ ท่านอาบีน็อกซ์”
“อา…นั่นสิครับ” ไหล่ของอาบีน็อกซ์ลู่ลงอย่างไร้เรี่ยวแรงก่อนจะพูดต่อ
“ข้าได้พบกับนางครั้งแรกในสโมสรครับ มันเป็นสโมสรพบปะของผู้คนที่ชื่นชอบในการอ่านหนังสือที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ข้าเองก็ไปร่วมโดยไม่ได้คิดอะไรมาก แต่กลับตกหลุมรักนางเข้าอย่างจังตั้งแต่แรกเห็น นางช่างแสนงดงามเหลือเกิน”
นัยน์ตาของอาบีน็อกซ์ยามพรรณนาถึงผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นรูปหัวใจไปแล้ว คงจะชอบมากจริงๆ
“หลังจากนั้นก็มีได้พบกันบ้างตามงานเลี้ยงหรือสโมสรเล็กใหญ่หลายงานครับ เพราะอย่างนั้นถึงได้มอบหนังสือให้นางเป็นของขวัญ บางครั้งก็ใช้เวลาดื่มชาร่วมกัน”
“ถ้าอย่างนั้นคนคนนั้นเองก็น่าจะมีใจให้ท่านอาบีน็อกซ์เหมือนกันนี่คะ”
“ข้าเองก็คิดแบบนั้นครับ แต่ว่า…”
หยาดน้ำตาหยดแหมะไหลออกมาจากนัยน์ตาของอาบีน็อกซ์อีกรอบ
“เมื่อไม่นานมานี้ นางได้บอกกับข้าน่ะครับ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานที่บ้านของนางจะเลือกคู่หมายให้…”
ใบหน้าของอาบีน็อกซ์หม่นหมอง ในขณะเดียวกันเสียงของเขาก็เริ่มแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
“ถ้านางต้องแต่งงานกับคนอื่น ข้าคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้วล่ะครับ”
“ไม่สิ เดี๋ยวนะคะ” เธอยกมือขึ้นห้ามปรามความคิดของเขาก่อนจะเอ่ยถาม
“เพราะฉะนั้นก็หมายความว่า ผู้หญิงคนนั้นบอกท่านอาบีน็อกซ์ว่าอีกไม่นานอาจจะต้องแต่งงาน ใช่มั้ยคะ”
“ครับ…”
“แถมยังไม่ได้แต่งเพราะรัก แต่เป็นการคลุมถุงชนเพราะที่บ้านจัดหาคู่หมายให้”
“ครับ…”
อะไรกัน นี่มันต่างฝ่ายต่างก็ใจตรงกันอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง
เธอไม่เข้าใจอาบีน็อกซ์ที่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้เสียเลย ก่อนจะหันไปมองเฟเรสแทนความหมายว่าเด็กนี่น่าสงสารเนอะว่ามั้ย
แต่ไม่รู้ทำไม เฟเรสเองก็กำลังตบบ่าของอาบีน็อกซ์เบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจอยู่นะนั่น
ท่าทางเหมือนเข้าใจความรู้สึกของอาบีน็อกซ์ดีเสียด้วย
พวกผู้ชายขี้ขลาด
เธอเอ่ยถามอาบีน็อกซ์ตรงๆ
“ท่านอาบีน็อกซ์ได้สารภาพรักผู้หญิงคนนั้นหรือยังคะเนี่ย”
“ยังไม่ได้…สารภาพรักหรอกครับ แต่ข้าก็แสดงความรู้สึกให้นางได้รู้ด้วยวิธีอื่นนะครับ”
“ตัวอย่างเช่น?”
“ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหนังสือหายากมอบให้นาง หรือให้ดอกไม้เป็นของขวัญ…ซื้อใบชาชั้นยอด ร่วมดื่มชาด้วยกัน…”
“ทำหมดทุกเรื่องยกเว้นสารภาพรักสินะคะเนี่ย”
“ระ เรื่องนั้น…ครับ…”
โธ่ เด็กน้อยเธอถอนหายใจเสียงแผ่ว ส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
“ท่านอาบีน็อกซ์ ต้องสารภาพรักออกไปสิคะ”
“ตะ แต่ก็พูดคุยเรื่องอะไรต่างๆ ก็มาก ทั้งยังใช้เวลาร่วมกัน…”
“ทั้งคู่อาจจะมีใจให้กันก็จริง แต่นี่มันเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนเลยนะคะ”
“ชัดเจน…” อาบีน็อกซ์พึมพำด้วยใบหน้าโง่งม
“ข้าคิดว่ามันต้องมีเหตุผลอยู่ค่ะ ที่นางบอกท่านอาบีน็อกซ์เรื่องการหมั้นหมายที่ยังไม่ถูกกำหนดขึ้นนั่น ให้ท่านอาบีน็อกซ์ได้ทราบล่วงหน้า”
ปัญหาแค่นี้ กลับกลุ้มใจจะเป็นจะตายขนาดนั้นเลยเหรออา…เหนื่อยชะมัด
เธอใช้ผ้าเช็ดปากซับรอบริมฝีปากที่เลอะเค้กช็อกโกแลตเล็กน้อยอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเอ่ยขึ้นว่า
“แสดงความรู้สึกออกมาให้นางเห็นสิคะ ท่านอาบีน็อกซ์ความรักที่ไม่แสดงออกน่ะ มันไม่ใช่ความรักหรอกค่ะ”
ก็แค่พูดคำคมที่เคยได้ยินออกไปเท่านั้นเอง แต่จำไม่ได้หรอกว่าไปได้ยินมาจากไหนเมื่อไหร่
โอ๊ย ไม่รู้ด้วยแล้ว คำพูดประโยคนี้มันก็น่าจะดัง เพราะใช้ได้จริงกับหลายคนนั่นแหละ
“ความรักที่ไม่แสดงออก ไม่ใช่ความรัก…”
“ถูกต้องแล้วค่ะ ท่านอาบีน็อกซ์…”
ไม่ใช่อาบีน็อกซ์คนที่พึมพำประโยคที่เธอเพิ่งพูดออกไปนั่น ไม่ใช่อาบีน็อกซ์ แต่เป็นเฟเรสซะงั้น
และนัยน์ตาสีแดงของเด็กหนุ่มก็เงยขึ้นมองเธอที่กำลังลุกขึ้นจากที่นั่ง
เธอตกใจเล็กน้อยจนเกือบสะดุ้ง
คำพูดประโยคนั้น เจ้าจะจำมันใส่ใจไปทำไมล่ะนั่น
* * *
ท่านหญิงเซอเชาว์ล้มป่วยด้วยโรคภัยมาได้ครึ่งปีแล้ว
นางอาจจะมีสุขภาพที่แข็งแรงดีเมื่อเทียบกับอายุก็จริง แต่หลังจากลื่นล้มบนพื้นที่แฉะไปด้วยน้ำฝนจนบาดเจ็บหนัก นางก็ไม่อาจลุกขึ้นจากเตียงได้อีก
สุดท้ายท่านหญิงเซอเชาว์จึงตัดสินใจปล่อยมือจากตำแหน่งเจ้าตระกูลเซอเชาว์ที่นางถือครองไว้เป็นเวลานานให้แก่ชานตั้น บุตรชายลูกพี่ลูกน้องของสามีผู้ล่วงลับ
ชานตั้นเป็นอัศวินชั้นยอดซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกองกำลังอัศวินส่วนพระองค์จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงวัยสี่สิบ และได้เดินทางกลับมายังบ้านเกิดเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เขาได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลอย่างเงียบๆ
หลังจากชานตั้นผู้ฉลาดและซื่อสัตย์ได้นั่งตำแหน่งเจ้าตระกูล ท่านหญิงเซอเชาว์ก็ค่อยวางใจ และกำลังมุ่งมั่นอยู่กับการรักษาโรคภัย
จนกระทั่งได้ยินข่าวแปลกประหลาดในวันนี้
ท่านหญิงเซอเชาว์เรียกตัวชานตั้นมาพบที่ห้องนอนในทันที
“ท่านป้า เรียกข้าหรือครับ”
ชานตั้นตัดคำเรียกอันแสนซับซ้อนทิ้ง เขาเรียกท่านหญิงเซอเชาว์ง่ายๆ ว่า ‘ท่านป้า’ พลางเดินเข้าไปในห้อง
เขาเป็นคนง่ายๆ ใบหน้าธรรมดาทั่วไปไม่ได้หล่อเหลาอะไร ผมสีน้ำตาลถูกตัดจนสั้น แต่มีความดุดันอันเป็นเอกลักษณ์ของอัศวินผู้ถือดาบมาเป็นระยะเวลานาน และความแข็งแกร่งนั้นแฝงอยู่ในทุกย่างก้าวที่เดิน
“สุขภาพเป็นยังไงบ้างครับ ท่านป้า”
“ดีขึ้นมากแล้วละ เจ้าเตรียมตัวไปเมืองหลวงเรียบร้อยดีมั้ย”
ท่านหญิงเซอเชาว์วางหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลงบนตัก ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น
“ครับ กำลังเตรียมการทีละเรื่องน่ะครับ ข้ากำลังเป็นห่วงอยู่เลยที่จู่ๆ ท่านป้าก็เรียกตัวข้ามาพบ มีเรื่องอะไรหรือครับ”
“วันนี้ข้าได้ยินเรื่องแปลกๆ มา ชานตั้น ได้ยินว่าเหตุผลที่พรุ่งนี้เจ้าจะเดินทางไปเมืองหลวง เป็นเพราะสารจากจักรพรรดินี”
หลังจากพูดจบ ท่านหญิงเซอเชาว์ก็ลอบสังเกตสีหน้าของชานตั้นทันที
ชายคนนี้เป็นคนใจกว้าง ทั้งยังไม่มีพิธีรีตองใดๆ เป็นเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่ผู้คนได้พักพิงเพราะฉะนั้นถึงได้มีสหายมาก ทั้งยังมีผู้คนจำนวนมากยอมติดตามเขา
การที่ชานตั้นคนนี้ยอมสละตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังอัศวินส่วนพระองค์ และเดินทางกลับมายังบ้านเกิด จึงถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับท่านหญิงเซอเชาว์จริงๆ
เพราะนางเชื่อใจในตัวชานตั้นมากถึงเพียงนั้น เพราะฉะนั้นท่านหญิงถึงได้ไม่เชื่อข่าวลือ แล้วเรียกตัวเขามาพบเพื่อสอบถามให้แน่ชัด
“…ครับ เป็นเช่นนั้น” คำตอบราบเรียบของชานตั้นที่นางนึกว่าจะสะดุ้งโหยงหาข้อแก้ตัว ทำให้ท่านหญิงเซอเชาว์ได้แต่ถอนหายใจหนักอึ้ง
“เจ้าปฏิบัติหน้าที่ในวังหลวงมานาน ย่อมไม่มีทางไม่รู้สถานการณ์ของราชวงศ์อยู่แล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะตัดสินใจถูกต้อง เพื่อเซอเชาว์ของพวกเรานะ ชานตั้น”
แต่ถึงจะพูดเช่นนั้น สีหน้าของท่านหญิงเซอเชาว์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
ท่านหญิงมองหน้าชานตั้นที่ยังคงยิ้มเป็นมิตรอย่างที่เคยซื้อใจผู้คนได้มากมาย สุดท้ายก็ได้แต่พูดเสริมออกไปอีกหนึ่งประโยค
“ระวังอังเกนัสให้ดี จะเชื่อใจพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
ชานตั้นรับฟังคำพูดนั้นอยู่เงียบๆ ไม่โต้แย้งอะไร ก่อนจะยิ้มกว้างและพยักหน้าลง
“ครับ ข้าจะจำใส่ใจเอาไว้ครับ ท่านป้า”