เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 151.2
เหตุผลที่มิเคนเต้ ไอบัน ชวนเธอมาพบที่ลานก่อสร้างสะพานแห่งนี้นั้นเรียบง่ายมาก
เพราะอยากจะให้เธอได้เห็นด้วยตาตัวเองว่า สะพานกำลังถูกบูรณะขึ้นมาใหม่ด้วยความช่วยเหลือจากลอมบาร์เดีย
เธอกับมิเคนเต้ ไอบันหันไปมองรอบๆ ที่ผู้คนมากมายกำลังแบกไม้ไว้บนไหล่ ขยับตัวกันอย่างยุ่งวุ่นวาย พลางสนทนากันไปด้วย
“ได้ยินเรื่องราวจากสารที่ท่านพี่ส่งมาให้เมื่อคืนนี้แล้วครับ เห็นว่าในตอนที่ทุกคนต่างก็เบือนหน้าหนีพวกเราไอบัน คนแรกที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคือคุณหนู”
ผ่านไปแค่คืนเดียวท่าทางของมิเคนเต้ ไอบันที่แสดงออกต่อเธอกลับดูดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีไม่ใช่แค่กับเฟเรสเท่านั้น แต่เขาเป็นคนรักษามารยาทที่พึงมีกระทั่งเวลาปฏิบัติต่อเธอ กับอาบีน็อกซ์ด้วยเช่นกัน
แต่ท่าทางที่เขาปฏิบัติต่อเธอในตอนนี้ มีกระทั่งความเคารพนับถือแฝงอยู่ด้วย
“ข้าจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลยครับ คุณหนูลอมบาร์เดีย”
“พูดเกินไปแล้วค่ะ ท่านชายไอบัน”
พอคิดว่าเธอสามารถทำให้เจ้าตระกูลไอบันในอนาคตประทับใจได้สำเร็จ ก็พลอยทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
แต่เธอก็ยังยิ้มถ่อมตัวจนถึงที่สุด พลางเอ่ยตอบกลับไป
“ข้าเองก็บอกท่านลอนเชนต์เช่นนี้เหมือนกันค่ะ เวลาลำบากก็ควรที่จะช่วยเหลือกันและกัน มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”
แม้จะเป็นคำพูดที่ค่อนข้างจะธรรมดาทั่วไป แต่ดูเหมือนมิเคนเต้ ไอบันจะรู้สึกซึ้งมากจากใจจริง
“กล่าวได้ถูกต้องแล้วครับ!”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ
“ต่อไปหากมีเรื่องใดที่ข้าสามารถช่วยเหลือคุณหนูได้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งกี่หนข้าก็จะช่วยครับ”
โถ เด็กน้อย ก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วละจ้ะเจ้าตระกูลไอบันกับเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียก็ต้องจับมือคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันสิจ๊ะ
ในระหว่างที่เดินชมแถวนั้นได้หนึ่งรอบใครบางคนก็เดินมาหามิเคนเต้ ไอบันถึงลานก่อสร้างน่าจะเป็นคนที่ทางเจ้าตระกูลไอบันส่งตัวมาละมั้ง
“ท่านเจ้าตระกูลเรียกตัวท่านมิเคนเต้ด่วนครับ คงจะต้องเดินทางกลับคฤหาสน์ทันทีละครับ”
“…เข้าใจแล้ว” สีหน้าของคนที่มาแจ้งข่าวดูไม่ปกติเอาเสียเลย
มิเคนเต้ ไอบันเองก็คงจะรู้สึกได้เช่นกัน สีหน้าของเขาจึงนิ่งไป
“ไปเถอะค่ะ ข้าจะอยู่ดูลานก่อสร้างต่ออีกหน่อย แล้วเดี๋ยวค่อยกลับ”
“ครับ เช่นนั้นไว้พบกันที่คฤหาสน์นะครับ”
หลังจากนั้นเธอก็อยู่สนทนากับเหล่าวิศวกรก่อสร้างจากลอมบาร์เดียที่ลานก่อสร้างต่ออีกสักพัก
เพื่อจะตรวจเช็กให้แน่ใจว่าพวกเขายังมีอะไรที่ต้องการเพิ่มเติมในการทำงานให้ลุล่วงอย่างปลอดภัยอีกหรือเปล่า
หลังจากสนทนากันจบ เธอก็เดินกลับไปขึ้นรถม้า เพราะท้องฟ้าวันนี้มีเมฆครึ้มดูมืดสลัวเร็วกว่าที่เคย
ลานก่อสร้างสะพานไม่ได้ไกลจากป้อมปราการไอบันเท่าไหร่แค่ผ่านเนินเขาที่ถูกเคลียร์พื้นที่เนื่องจากดินถล่มไปไม่กี่เนินก็ถึงแล้ว
ภายในรถม้าที่สั่นคลอนโยกเยกไปตามทาง เธอมีเพียงแค่ความคิดเดียวเท่านั้นต้องรีบกลับห้องไปแช่น้ำอุ่นๆ ในอ่างสักหน่อย
ทั้งที่ตอนเดินชมสะพานก็พยายามเดินอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว แต่ก็ยังเลอะโคลนจนเท้าเย็นไปหมด
“โว้วๆ”
แต่จู่ๆ รถม้าที่วิ่งมาสักพักกลับค่อยๆ ลดความเร็วลงอย่างช้าๆ
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“ข้างหน้ามีรถม้าตระกูลไอบันจอดขวางอยู่ครับ เหมือนว่าล้อจะพัง เอายังไงดีครับ”
สารถีรถม้าถามเธอ
รู้สึกอยากหัวเราะชะมัดไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดเรื่องให้มิเคนเต้ ไอบันต้องติดหนี้บุญคุณเธออยู่เรื่อยนะเนี่ย
เธอเปิดประตูรถม้าออกด้วยตัวเอง ก่อนจะชะโงกหัวออกไปมองข้างนอก
ตรงจุดที่พวกเราอยู่ตรงนี้ อีกแค่เนินเขาเดียวก็ถึงป้อมปราการของไอบันแล้ว มิเคนเต้ ไอบันกับสารถีรถม้ากำลังสนทนากันด้วยใบหน้าลำบากใจ
“ท่านชายไอบัน เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“อ๊ะ คุณหนูลอมบาร์เดีย ข้าไม่บาดเจ็บครับ แต่รถม้าทรุดไปแล้วละครับ ฮ่าฮ่า กว่าจะซ่อมเสร็จคงต้องใช้เวลาสักพักครับ”
“เมื่อครู่นี้เหมือนบอกว่าจะต้องรีบกลับไปที่คฤหาสน์นี่คะ ถ้าไม่รังเกียจ ขึ้นรถม้าของข้าเดินทางไปพร้อมกันเป็นเช่นไรคะ”
“ถ้าอย่างนั้นถึงแม้จะน่าละอายใจ แต่ข้าขอรับความช่วยเหลืออีกครั้งนะครับ คุณหนู”
นี่ไม่ได้ช่วยกันฟรีๆ หรอกนะทุกอย่างนี่เธอจะจดบันทึกลงบัญชีเจ้าตระกูลไอบันคนต่อไปอย่างแน่นอน
รถม้าที่เธอกับมิเคนเต้ ไอบันโดยสารเริ่มเคลื่อนตัวออกเดินทางกันอีกครั้ง
“ขอบคุณมากจริงๆ นะครับ คุณหนู ปกติไม่ค่อยมีเรียกตัวด่วนแบบนี้หรอก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร…”
ถึงแม้ปากจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ใบหน้าของมิเคนเต้แสดงออกให้เห็นว่า เขาเองก็พอจะคาดการณ์ได้คร่าวๆ ว่าเป็นเรื่องใด
ตอนนี้ถึงเวลาที่ข่าวลือเรื่องเฟเรสแจกจ่ายเงินช่วยเหลือไปให้บรรดาเจ้าเมืองจะเริ่มแพร่ไปทั่วแล้ว และเขาก็เป็นคนที่ช่วยให้เฟเรสทำเรื่องนั้นได้เมื่อถูกเจ้าตระกูลไอบันเรียกตัว ย่อมต้องยิ่งรู้สึกร้อนใจเป็นธรรมดา
ในตอนนั้นเองก็พลันได้ยินเสียงสารถีรถม้าร้อง ‘โอ๊ย’ ดังขึ้นจากด้านนอก และรถม้าก็โคลงเคลงอย่างหนัก
“ขออภัยครับ! พอดีทางมันลื่น!”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฝนตกลงมาตั้งแต่รุ่งสาง ถนนคงจะลื่นมาก…”
เธอไม่อาจพูดจนจบประโยคได้
ใช่แล้ว เมื่อวานฝนก็ตกลงมาตลอดทั้งวัน วันนี้ฝนก็ตกลงมาตั้งแต่รุ่งสาง
หัวใจเริ่มเต้นโครมครามด้วยความไม่สบายใจ
เธอรีบเปิดหน้าต่างรถม้าออก แล้วตรวจเช็กสภาพภายนอกอย่างรวดเร็ว
โล่งอกที่ภูเขายังคงเงียบสงบไม่สิ มันเงียบเกินไป
ราวกับสัตว์ป่าบนภูเขาทั้งหมดพากันหนีตายหายไปจากภูเขากันหมดแล้ว
“เพิ่มความเร็วหน่อยค่ะ ต้องรีบกลับไปที่ป้อมปราการ…”
ชั่ววินาทีนั้นเอง เธอก็ได้เห็นฉากน่าสะพรึงตรงหน้าเต็มสองตา
ถนนที่รถม้ากำลังวิ่งไปมันกำลังพังครืนลงมาตั้งแต่ส่วนหน้าตรงโน้นไล่มาเรื่อยจนใกล้จะถึงรถม้าของพวกเรา
ราวกับกำลังมองปราสาททรายที่พังทลายลงมา
ครืนนน
ในที่สุดเสียงคล้ายแผ่นดินแยกตัวออกจากกันก็ดังขึ้น พร้อมกับเนินเขาด้านข้างที่เริ่มถล่มกระจายลงมาด้านล่าง
“อ๊ะ โอ๊ะ!”
ต่อให้เป็นสารถีรถม้าที่มีประสบการณ์มากขนาดไหน เจอถนนทรุดตัวพังครืนแบบนี้ จะไปทำอะไรได้กันล่ะ
ในช่วงเวลาสั้นๆ แค่กะพริบตา สายตาของเธอก็พลันสบเข้ากับมิเคนเต้ ไอบันที่ยังไม่อาจประเมินสถานการณ์ได้ว่ากำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เธอรีบปิดหน้าต่างให้สนิท ดึงมิเคนเต้ ไอบันเข้าหาตัว แล้วพากันคู้กายซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดของที่นั่งรถม้า
โครม-!
แรงกระแทกอย่างหนักกระทบรถม้าเข้าอย่างจัง
และความมืดมิดอันแสนหนักอึ้งก็เข้าปกคลุมพวกเรา