เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 152.2
เจ้าตระกูลไอบันมองดูจนแน่ใจว่าทหารยามลงมือจัดการตามคำสั่ง ก่อนจะหันไปมองภาพด้านหลังของเฟเรส
ออร่าแข็งแกร่งมากทีเดียวแต่ไม่มีใครสามารถดึงเอาออร่าออกมาใช้ได้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด
โดยเฉพาะการฟาดฟันของแข็งอย่างก้อนหินพวกนั้น มันเผาผลาญมานาจำนวนมหาศาล
นั่นไงล่ะ! ดาบออร่าในมือเฟเรสกำลังกะพริบถี่อยู่หลายครั้ง และแสงออร่าเองก็เริ่มจางลงแล้ว
แต่เฟเรสก็ยังคงแกว่งดาบอยู่เงียบๆ บางครั้งก็ยังฟันลงบนก้อนหินด้วยดาบเปล่าไร้ซึ่งออร่า
ติ๋ง ติ๋ง
เลือดสีแดงสดก็เริ่มไหลอาบลงมาจากอุ้งมือที่ฉีกขาดของเฟเรส มันไหลย้อมลงมาตามคมดาบ และหยดลงบนก้อนหินในที่สุด
แต่การเคลื่อนไหวของเฟเรสที่กัดฟันแน่นก็ยังคงไม่ยอมหยุด
เคร้ง-! ปัง!
ท่ามกลางเสียงก้อนหินแตกหักเป็นเสี่ยง ปริมาณหยดเลือดที่ไหลลงบนพื้นมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
* * *
“อึก…”
เจ็บราวกับหัวแตกเป็นเสี่ยงๆ เลย
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นพอยกแขนขึ้นตั้งใจจะจับหัวที่เจ็บจี๊ดขึ้นมา ก็พลันได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ดังขึ้น
ซ่าาาา
พอพยายามจนลืมตาที่หนักอึ้งขึ้นได้ ก็มองเห็นสภาพภายในรถม้าที่มืดมิดจนแทบจะไม่มีแสงส่องเข้ามาถึง
ครั้งสุดท้ายตอนที่ยังมีสติอยู่ เธอสลบไปบนพื้นรถม้าที่กลิ้งเอียงกระเท่เร่นั่นเอง
“อึก เลือด…”
มือที่ยกขึ้นลูบหน้าผากย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสด
และก็หันไปเห็นมิเคนเต้ ไอบัน ที่นอนสลบอยู่บริเวณปลายเท้าของเธอ
“ทะ ท่านชายไอบัน…!”
“อื้อ…”
มิเคนเต้ ไอบันหมดสติไปเหมือนกับเธอ เขามีปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อได้ยินเสียงของเธอก็จริง แต่ก็ยังไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้
“สุดท้ายก็ถูกฝังงั้นเหรอ”
เธอหยัดกายลุกขึ้นอย่างระมัดระวังทุกครั้งที่ขยับ ศีรษะก็ปวดจี๊ดขึ้นมาจนแทบจะทนไม่ไหว แต่จะอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้
ใช้เวลาสักพักถึงค่อยขยับกายขึ้นมานั่งบนที่นั่งในรถม้าได้สำเร็จ เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ
“โล่งอกที่ยังมีอากาศเข้ามาจากข้างบนนั่น…”
ไม่รู้ว่านี่เป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เพราะเพดานที่ถูกหินก้อนเล็กแทงทะลุเข้ามา ทำให้พวกเราสามารถหายใจอยู่ในนี้ได้
แต่แน่นอนว่าก้อนหินที่ตอนนี้กลิ้งอยู่บนพื้นรถม้าก้อนนั้น มันคือหินก้อนที่บาดหน้าผากของเธอจนได้เลือดเนี่ยแหละ
เธอเงยหน้าขึ้นพยายามปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดสลัว ดูเหมือนว่าด้านบนจะถูกทับเอาไว้ด้วยโคลนเปียกชื้นกับกองหินสินะ
พอขยับตัวแรงหน่อยก็จะได้ยินเสียงดินขยับดังกรุกกรักเบาๆ ขณะเดียวกันก็มีอากาศแผ่วเบาโชยเข้ามาผ่านรูที่ด้านบน
“โล่งอกไปทีที่นั่งรถม้าคันใหญ่ทนทานแบบนี้นะเนี่ย ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นละก็ คงจะเอากระเป๋าฉุกเฉินพกติดไว้ในรถม้า…”
ไม่สิ ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นละก็ คงไม่ลุกออกจากผ้าห่มตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ
ได้นั่งคิดเรื่องไร้สาระแบบนั้นอยู่ตามลำพัง ความตึงเครียดก็เริ่มคลายตัวลงไปบ้าง แต่ศีรษะที่เจ็บจี๊ดจนมึนตึบ กับความมืดมิดนี่มันก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาอยู่เรื่อย
ทั้งๆ ที่รู้ว่าอากาศผ่านเข้ามาได้ ทั้งยังมีลมเย็นพัดผ่านเข้ามาอีกแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก
“อึก ที่นี่ที่ไหน…” ในตอนนั้นเอง มิเคนเต้ ไอบันก็ลืมตาขึ้นมา
ความรู้สึกโล่งใจแปลกๆ พลันเกิดขึ้นทันทีเธอไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียวนี่นะ
เธอถอนหายใจเสียงแผ่ว ก่อนจะเปิดปากพูดกับมิเคนเต้ ไอบัน
“ได้สติแล้วเหรอคะ ดูเหมือนจะถูกดินถล่มทับลงมาน่ะค่ะ”
“อา…อย่างนั้น…หรือครับ คุณหนูเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“บาดเจ็บเล็กน้อยค่ะ แต่ไม่เป็นไร”
“โล่งอกไปทีครับ ข้าเองก็ต้องลุก… อึก!”
“อาจจะได้รับบาดเจ็บตรงไหนก็ได้ค่ะ อย่าฝืนเลยนะคะ นอนต่อเถอะค่ะ”
มิเคนเต้ ไอบันขมวดคิ้วแน่น แต่ก็ยอมพยักหน้าตกลงกับคำพูดของเธอ
“ขออภัยครับ คุณหนูลอมบาร์เดีย”
“เรื่องอะไรคะ”
“เพราะความดื้อรั้นของบิดาข้าแท้ๆ … เดิมทีเนินเขานี่ก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ควรจะมีการเตรียมรับมือกับดินถล่มหากจะเกิดเหตุการณ์ระลอกสองครับ ข้าควรที่จะพยายามเกลี้ยกล่อมท่านพ่อให้มากกว่านี้”
เธอไม่ได้พูดอะไรออกไป
เพราะถึงจะเป็นแค่การพูดปลอบออกไปเฉยๆ เธอก็ไม่อาจพูดออกไปว่า ‘ไม่เป็นไร’ ได้อยู่ดี
มิเคนเต้ ไอบันยิ้มขมขื่นคล้ายกับรู้ความคิดของเธอดี
“เป็นเพราะความลังเลของข้า ทำให้คุณหนูต้องประสบกับเรื่องเช่นนี้…อึก”
มิเคนเต้ ไอบันพึมพำอยู่อย่างนั้น ในที่สุดเขาก็หยัดกายลุกขึ้นนั่งได้สำเร็จ
และเงยหน้าขึ้นมองรูเล็กๆ บนเพดานด้วยนัยน์ตาสิ้นหวัง
“วันที่จะได้เห็นแสงสว่างอีกครั้งคงไม่มีวันมาถึงแล้วละครับ ที่นี่…”
“อดทนอีกแค่ไม่กี่วันก็พอค่ะ”
“…ครับ”
“แค่อดทนหน่อย วันที่แสงแดดจะส่องเข้ามาในรถม้าคันนี้อีกครั้ง จะต้องมาถึงแน่ค่ะ”
“แต่…”
“ข้าทราบค่ะ ปกติถ้าเกิดเหตุดินถล่ม จนถูกฝังไว้แบบนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องตายกันทั้งนั้น แต่คราวนี้มันแตกต่างกันค่ะ”