เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 153.2
เสียงตวาดลั่นของรูลลักทำให้นัยน์ตาของแคลอฮันที่เหม่อลอยเหมือนสติหลุดไป เริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
“ท่านพ่อกล่าว…ถูกแล้วครับ เทียของพวกเราอาจจะยังปลอดภัยอยู่ใต้นั้นก็ได้ ใช่แล้ว ใช่…”
ร่างกายของแคลอฮันที่เคยไหวเอนดั่งกิ่งไผ่ลู่ลม เริ่มกลับมาทรงตัวและหยุดสั่นได้ในที่สุด
เขาหยัดกายลุกขึ้นยืนตัวตรง กำหมัดแน่น ในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าจะเดินทางไปไอบันครับ ได้โปรดให้กองกำลังอัศวินติดตามข้าไปด้วยเถอะครับ”
รูลลักพยักหน้าตกลง
“พาไปให้หมดทั้งกองกำลังที่ 1 และ 2 เลยก็แล้วกัน”
หมายความว่าให้เหลือเพียงแค่กำลังทหารส่วนเดียวไว้เพื่อคอยอารักขาคฤหาสน์ลอมบาร์เดียก็พอ
“สองแฝดขี่ม้าได้รวดเร็ว พวกเขาจะต้องมีประโยชน์แน่ ข้าจะลองตรวจดูว่าเหมืองลอมบาร์เดียในไอบัน พอจะมีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรช่วยได้บ้างหรือเปล่า”
ชานาเนสกล่าว
“กำลังเสริมกลุ่มที่สองทางข้าจะจัดการส่งไปเพิ่มให้ ข่าวสารจากทางไอบันเองก็จะบอกต่อให้เจ้ารู้ผ่านทางพิราบสื่อสาร ดังนั้นแคลอฮัน เจ้าจงออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนทันที”
“ฝากด้วยนะครับ ท่านพ่อ”
แคลอฮันผลักประตูห้องทำงานเจ้าตระกูลออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยตกใจจนตัวเซมาก่อน
รูลลักเอ่ยกับโยฮัน
“โยฮัน สั่งให้คนเตรียมรถม้า”
“ครับ ท่านเจ้าตระกูล”
โยฮันเองก็วิ่งออกไปจากห้อง รูลลักสูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมแต่เพราะมือที่สั่นเทาทำให้เขามือไม้ลื่นไปหมดจนจับอะไรไม่ถูกอยู่หลายรอบ
ชานาเนสทนดูต่อไปไม่ไหว จึงเดินเข้ามาช่วยบิดาสวมเสื้อนอกพลางเอ่ยขึ้นว่า
“จะไปไหนเหรอคะ”
“เข้าวัง ข้าตั้งใจว่าจะไปสั่งให้โยบาเนสออกราชโองการลงมาเสียหน่อย”
“ราชโองการ…”
“ถนนที่ใช้มุ่งหน้าจากลอมบาร์เดียไปจนถึงไอบันทุกเส้น ป้อมปราการทุกป้อม เจ้าเมืองทั้งหลายจะต้องเปิดทางให้กองกำลังอัศวินลอมบาร์เดียผ่านทางไปได้โดยไม่มีการหยุดตรวจค้น แม้แต่ตอนกลางคืนเองก็ต้องเปิดประตูเมืองเอาไว้ให้พวกเรา”
“ท่านพ่อคิดถูกแล้วค่ะ ราชโองการย่อมรวดเร็วกว่า”
ลอเรนซ์เบิกตากว้างเฝ้ามองภาพทั้งหมดที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาเกาหัวแกรกๆ พึมพำเสียงแผ่ว
“แต่ถ้าโดนดินถล่มทับลงมา ก็น่าจะ…”
ปัง!
เสียงสนั่นดังก้องไปทั่วห้องทำงาน
ราวแขวนเสื้อหนักๆ ที่อยู่ตรงหน้ารูลลักถูกผลักจนล้มคว่ำไปด้านข้าง
“ลอเรนซ์”
รูลลักเอ่ยเรียกบุตรชายด้วยนัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยโทสะราวกับเป็นคำเตือน ทำเอาลอเรนซ์ผวาเฮือกจนตัวโยน
“วันนี้ข้าไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะหลับตาไม่มองความผิดพลาดของเจ้าหรอกนะ ระวังคำพูดด้วย”
ลอเรนซ์รีบพยักหน้าลงอย่างรวดเร็ว
“เทียต้องไม่เป็นอะไรค่ะ ท่านพ่อ” ชานาเนสกล่าวปลอบโยน
รูลลักพยักหน้าลง
“ใช่แล้ว ต้องไม่เป็นอะไร เด็กคนนั้นคือหลานสาวของข้า รูลลักคนนี้ นางเป็นเด็กที่แข็งแกร่งยิ่ง ดังนั้นจะต้องไม่เป็นอะไร”
รูลลักพึมพำอยู่อย่างนั้นหลายครั้งราวกับต้องการสะกดจิตตัวเอง ก่อนจะพุ่งออกไปจากห้องทำงานอย่างรวดเร็วจนเกิดสายลมพัดตามหลัง
ชานาเนสถอนหายใจเสียงแผ่ว ขยับตัวตั้งใจจัดการเก็บกวาดพื้นที่รอบๆ ให้เป็นระเบียบ
“ท่านพี่จะไปไหนหรือครับ” เบเจอร์นั่งนิ่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย ราวกับพายุที่พัดกระหน่ำอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่นี้ เป็นเพียงแค่เรื่องของคนอื่น
“จะไปพาตัวดอกเตอร์เอสทีร่าไปด้วย เทียอาจจะได้รับบาดเจ็บ ต้องเตรียมพร้อมเผื่อไว้ก่อน”
เบเจอร์ขมวดคิ้วแน่นครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น
ชานาเนสพอจะคาดเดาได้ว่าน้องชายของนางอยากจะพูดอะไร จึงทำเพียงแค่เหลือบมองเบเจอร์ด้วยนัยน์ตาเย็นชา ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องด้วยความเร่งรีบแต่สถานที่ที่ชานาเนสมุ่งหน้าไปไม่ใช่อาคารซึ่งเป็นที่ตั้งห้องวิจัยของเอสทีร่าแต่อย่างใด
ชานาเนสมุ่งหน้ากลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง นางรีบหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมา แล้วเขียนประโยคสั้นๆ ลงไปบนนั้น
ยังมีอีกคนหนึ่งที่ต้องรู้ว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับฟีเรนเทีย
ชานาเนสพับกระดาษลงใส่ซอง ปิดผนึกมัน แล้วเรียกตัวข้ารับใช้นางหนึ่งเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“นำสารฉบับนี้ไปที่ร้านค้าเพลเลสเดี๋ยวนี้”
และเอ่ยย้ำอีกครั้ง
“ไม่ใช่ให้ใครที่ไหน แต่จะต้องส่งมันให้ถึงตัวเครย์ลีบัน เพลเลสคนเดียวเท่านั้น”
* * *
ผ่านไปได้สองวันแล้ว หลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้น
ความตกตะลึงกลืนกินไปทั่วไอบัน หลังจากทราบข่าวว่าภายในรถม้าตระกูลลอมบาร์เดียมีมิเคนเต้ ไอบัน โดยสารอยู่ด้วย
พวกเขาเรียกตัวแรงงานทั้งหมดที่กำลังบูรณะกำแพงเมืองมาช่วยกันกู้รถม้า
น่าเศร้าที่ความคืบหน้าของงานเป็นไปอย่างล่าช้า อีกทั้งผู้คนต่างก็เหนื่อยล้ากันมากจนได้แต่ถอนหายใจ
ทว่ายังมีอีกคนหนึ่งที่เคลื่อนไหวไม่หยุด ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น
ปัง เคร้ง!
เสียงกรีดของโลหะดังก้องไปทั่วบริเวณ
กระทั่งออร่าสีน้ำเงินที่เคยส่องแสงห่อหุ้มทั่วดาบของเฟเรสเอง แสงของมันก็เริ่มค่อยๆ ดับลงไปทีละนิด
แค่ยังคงดึงออร่าออกมาใช้ได้จนถึงตอนนี้ ทั้งๆ ที่กวัดแกว่งดาบโดยไม่ได้กิน ไม่ได้หยุดพัก ก็ถือเป็นเรื่องปาฏิหาริย์มากแล้ว
“แฮกแฮก…!”
เฟเรสหอบหายใจเสียงดังด้วยความเหนื่อยล้า เขากระชับดาบในมือแน่น
“เจ้าชายลำดับที่สอง”
หัวหน้าทหารยามทนมองภาพนั้นต่อไปอีกไม่ไหว จึงเดินเข้ามาคว้าแขนของเฟเรสเอาไว้
“พักสักหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อยข้า”
หากฝืนใช้ออร่าต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ อาจจะจับดาบไม่ได้อีกต่อไปก็ได้ พระองค์เองก็ทราบดีไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อย”
เฟเรสพูดขณะที่สะบัดมือของหัวหน้าทหารยามออกและเหม่อมองผืนดินใต้ฝ่าเท้าด้วยนัยน์ตาปรือจากความอ่อนล้าราวกับรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ข้างใต้นั่นมีรถม้าที่ฟีเรนเทียนั่งถูกฝังอยู่
เฟเรสเช็ดหยาดเหงื่อที่ไหลเข้าดวงตาออกลวกๆ พลางพูดพึมพำ
“หากไม่มีเทีย ก็ไม่มีเหตุผลให้ข้าต้องจับดาบอีกต่อไป”
เฟเรสนึกถึงใบหน้ายามหัวเราะสดใสของนางขึ้นมา เขากระชับดาบในมืออีกครั้ง บาดแผลบนอุ้งมือที่เริ่มสมานตัวกลับมาฉีกขาดอีกครั้ง
เลือดไหลกระฉูดออกมาเป็นทางแต่เฟเรสไม่สนใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น เขาเรียกออร่าสีน้ำเงินขึ้นมาห่อหุ้มดาบของตัวเองอีกรอบ
เคร้ง เคร้ง!เสียงที่ดังกว่าเดิมอีกระดับดังก้องไปทั่วป่าที่ดินถล่มลงมา
หัวหน้าทหารยามประจำไอบันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มมีฝนตกโปรยลงมาด้วยความสิ้นหวัง
“ให้ตายเถอะ หากมีแรงงานคนมากกว่านี้ละก็…”
เขตแดนอื่นๆ ในเขตเหนือเองก็ส่งคนมาเพิ่มหลังจากทราบข่าว แต่มันก็เป็นเพียงแค่จำนวนน้อยนิดเท่านั้น
เพราะทุกคนต่างก็กำลังพยายามอย่างสุดความสามารถในการบูรณะฟื้นฟูเขตแดนของตัวเอง และยังต้องคอยรับมือกับดินถล่มที่อาจจะเกิดขึ้นอีกได้ทุกเมื่อ จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้
ในตอนนั้นเองก็มีใครบางคนตะโกนขึ้นมาเสียงดังลั่น
“ทางด้านนั้นมีคนมาครับ! นะ น่าจะเป็นทหารจากเขตแดนอื่นครับ!”
หัวหน้าทหารยามตกใจจนรีบวิ่งขึ้นไปบนที่สูง เพื่อมองเช็กตำแหน่งที่พลทหารชี้นิ้วตรงไปนั่น
“สัญลักษณ์นั่น…”
ตรงบริเวณนั้นมีกลุ่มคนขนาดใหญ่หลายสิบคน ธงสัญลักษณ์ทั้งหมดสี่ตระกูลโบกสะบัดพลิ้วไหว
ทั้งหมดนั่นเป็นธงประจำตระกูลจากภาคกลาง ซึ่งตั้งอยู่ห่างลงไปทางตอนใต้จากไอบัน
กลุ่มคนกลุ่มนั้นเริ่มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ อัศวินที่ควบม้านำอยู่หัวขบวนบังคับม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าหัวหน้าทหารยามไอบัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พวกเราเป็นคนจากพาเซงท์ บิลช์ บานาเพ่ และเอนพาเรีย ได้รับคำสั่งจากราชวงศ์ให้นำกำลังคนมาช่วยเหลือคุณหนูลอมบาร์เดีย”