เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 154.2
ต่อให้ทุกคนไม่แสดงความรู้สึกอะไรออกมาให้เห็นภายนอก แต่เมื่อถึงเวลาพัก แล้วได้นั่งล้อมวงกันเป็นกลุ่มสองสามคนทีไร หัวข้อบทสนทนาก็มักจะเป็นเรื่องนี้ทั้งสิ้น นี่เป็นความจริงที่ไวโอเล็ตเองก็รู้ดี
พวกเขาเป็นแรงงานจากกิจการเหมืองแร่ที่มาช่วยงานในครั้งนี้ จึงเคยพบเจอเหตุการณ์เหมืองถล่มหรืออุบัติเหตุรูปแบบต่างๆ มากันบ้างแล้ว
“หินก้อนใหญ่มาก ดินเองก็ค่อนข้างร่วน ดังนั้นอากาศจะสามารถผ่านลงไปได้ถึงข้างใต้นั่นครับ”
คำพูดนั้นเป็นเพียงความหวังเดียวของไวโอเล็ตและผู้คนทั้งหลายในยามนี้
“นั่นท่านฟีเรนเทียเชียวนะ” ไวโอเล็ตกล่าวย้ำกับตัวเองซ้ำๆ เช่นนั้น
ในตอนนั้นเอง ราโมนาก็เดินยกชาร้อนกรุ่นมาให้ นางเอ่ยกับไวโอเล็ตว่า
“ดื่มชาอุ่นๆ ก่อนนะคะ คุณไวโอเล็ต”
ราโมนาเป็นหนึ่งในบรรดาคนกลุ่มแรกๆ ที่วิ่งมาถึงที่นี่หลังจากทราบข่าวอุบัติเหตุของฟีเรนเทียนางคอยช่วยแจกจ่ายอาหารให้แก่ผู้คนที่มารวมตัวกันกู้รถม้า ถ้าหากมีใครได้รับบาดเจ็บ นางก็จะคอยช่วยดูแลพวกเขาให้
“ขอบคุณค่ะ คุณราโมนา”
“คุณหนูลอมบาร์เดียจะต้องปลอดภัยค่ะ สู้ๆ นะคะ คุณไวโอเล็ต”
“ขอบคุณค่ะ” ไวโอเล็ตยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง
“คงจะสนิทกันมากเลยสินะคะ คุณไวโอเล็ตกับคุณหนูลอมบาร์เดีย”
“ท่านฟีเรนเทียคือเหตุผลที่ข้ามาทำงานให้กับร้านค้าเพลเลสค่ะ ท่านเป็นคนช่วยให้ข้าวาดฝันที่ใหญ่ขึ้น บางทีนอกจากข้าแล้ว ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ติดหนี้บุญคุณท่านฟีเรนเทียจนไม่อาจตอบแทนได้เลยละค่ะ เพราะท่านเป็นคนเช่นนั้นนี่คะ ท่านฟีเรนเทียน่ะ”
“เป็นคนได้รับความรักมากมายเลยนะคะ” ราโมนายิ้มด้วยใบหน้าซับซ้อน
“มีคนมาจากทางด้านนั้นครับ! ลอมบาร์เดีย! ดูเหมือนจะเป็นคนจากลอมบาร์เดียครับ!”
พลทหารที่ทำงานอยู่ด้านบนคนหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่น
ไวโอเล็ตรีบส่งถ้วยชาที่ดื่มอยู่ยัดคืนใส่มือราโมนา ก่อนจะวิ่งตรงไปทางด้านที่ว่าทันที
กลุ่มคนที่ควบม้าตรงมายังลานที่เกิดเหตุคือกลุ่มผู้ชายประมาณสิบห้าคน
ในกลุ่มนั้นมีกว่าสิบคนที่สวมชุดอัศวินประดับสัญลักษณ์ตระกูลลอมบาร์เดีย
ทางฝั่งนั้นเองก็ดูเหมือนจะสังเกตเห็นไวโอเล็ตเช่นกัน จึงนำม้ามุ่งตรงมาหานาง
กุบกับ กุบกับ!
“ฮี้ ฮี้”
ม้าตัวใหญ่ยักษ์ขนาดผู้ใหญ่สองคนนั่งได้สบายพ่นลมหายใจเสียงดัง ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้านาง
ชายคนที่นั่งอยู่ด้านหลังรีบกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว
“ท่านแคลอฮัน!”
ไวโอเล็ตตะโกนด้วยความตกใจ
ระยะทางจากลอมบาร์เดียมาถึงที่นี่มันไกลมากจนถ้านั่งรถม้าจะต้องใช้เวลากว่าสิบวัน
ต่อให้ควบม้าวิ่งมาเร็วแค่ไหน ก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งสัปดาห์อยู่ดี
แต่พวกเขากลับเดินทางมาถึงที่นี่ในเวลาเพียงแค่สี่วันเท่านั้นเนี่ยนะ
การเดินทางจะทรหดขนาดไหน นางจินตนาการไม่ออกเลย
“…เทียล่ะ เทียอยู่ที่ไหนครับ”
สีหน้าซีดเผือดนั่น มองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วว่าแคลอฮันเหนื่อยล้าจนถึงขีดสุด แต่เขาก็ยังเอ่ยถามถึงบุตรสาวในทันทีที่พบหน้าไวโอเล็ต
“ยัง…”
แคลอฮันตัวเซเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดจากปากไวโอเล็ต
ใครคนหนึ่งช่วยจับไหล่ของแคลอฮันเอาไว้
เครย์ลีบันนั่นเอง
“นำทางพวกเราไปนั่งก่อนเถอะครับ ไวโอเล็ต”
“และขอน้ำกับของกินด้วยนะครับ”
“ถ้าได้ของอุ่นๆ ยิ่งดี”
คิลลีวูกับเมโลนเป็นคนสลับกันขี่ม้าพาแคลอฮันที่ยังไม่คุ้นชินกับการขี่ม้าด้วยความเร็วเท่าไหร่มาจนถึงที่นี่ พวกเขาใช้ปลายนิ้วนวดลงบนเปลือกตาอันแสนเหนื่อยล้า ในขณะที่ไวโอเล็ตเอ่ยขึ้นว่า
“เชิญทางนี้เลยค่ะ”
เธอเดินนำคณะเดินทางจากลอมบาร์เดียไปยังบริเวณที่ผู้คนจุดฟืนก่อกองไฟนั่งพักกันอยู่
ทุกคนต่างช่วยหลบทางให้ด้วยความเกรงอกเกรงใจ
ทันทีที่ได้ทิ้งบั้นท้ายลงบนเก้าอี้ สองแฝดก็ส่งเสียงครางออกมา
พวกเขาควบม้ามาจนถึงที่นี่โดยไม่หยุดพัก จะหยุดสักครั้งก็เพียงแค่แวะเปลี่ยนม้าตามเมืองต่างๆ ที่เป็นทางผ่านเท่านั้นเอง
สุดท้ายกองกำลังอัศวินหลายคนก็ไม่อาจหาม้าตัวใหม่มาเปลี่ยนให้ได้ พวกเขาเลยต้องแบ่งหลายคนออกไปเป็นกลุ่มสองที่จะตามมาทีหลังแทน
นี่เป็นการเดินทางที่สุดแสนจะทรหดกระทั่งอัศวินตระกูลลอมบาร์เดียผู้มากประสบการณ์ยังไม่เคยได้ประสบกันมาก่อน
แต่เพราะพวกเขาทุกคนต่างก็เข้าใจความรู้สึกของแคลอฮันดี จึงยอมที่จะขี่ม้าวิ่งแล้ววิ่งอีกโดยไม่หยุดพัก
“เช่นนั้นก่อนอื่นข้าจะแจ้งสถานการณ์ความคืบหน้าจนถึงตอนนี้ให้ทราบนะคะ ท่านแคลอฮัน”
ไวโอเล็ตเริ่มอธิบายงานต่างๆ ที่ทำมาจนถึงตอนนี้ด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้นิ่งสงบ
เพราะนางคิดว่าจะปล่อยให้เห็นว่ากระทั่งนางเองก็ยังรู้สึกกระวนกระวายใจออกไปไม่ได้เด็ดขาด
“เพราะฉะนั้นงานหลักของวันพรุ่งนี้ก็คือ เอาหินก้อนใหญ่นั่นออกสินะครับ”
แคลอฮันพูดขึ้นหลังฟังคำอธิบายทั้งหมดจากไวโอเล็ต
“ใช่แล้วค่ะ พวกวิศวกรเหมืองแร่บอกว่า สำหรับใต้หินนั้นใช้เวลาเพียงไม่นานก็เสร็จแล้วละค่ะ”
“เขาว่าจะใช้วิธีการอะไรหรือครับ”
“ทางเหมืองบอกว่า ใช้ระเบิดมันน่าจะเป็นวิธีการที่เร็วที่สุดค่ะ แต่มีความเสี่ยงที่จะทำให้พื้นรอบๆ ยิ่งทรุดตัวลงไปมากกว่านั้น จึงต้องเลี่ยงวิธีนั้นไป ส่วนวิธีที่เหลือก็มีแค่หนึ่งในสองวิธีนี้ค่ะ”
ไวโอเล็ตแลบลิ้นเลียริมฝีปากแห้งผากก่อนจะเอ่ยต่อ
“ใช้เครื่องมือค่อยๆ ทุบหินก้อนนั้นให้แตก ถึงจะใช้เวลานานไปหน่อยก็เถอะ ส่วนอีกวิธีคือ ใช้ดาบออร่าฟันมันให้แตกเป็นเสี่ยง แล้วขนออกทีละชิ้นค่ะ วิธีหลังเป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดและปลอดภัยที่สุด แต่ว่า…”
ไวโอเล็ตลากเสียงท้ายประโยคด้วยไม่แน่ใจว่าควรพูดออกไปดีหรือไม่
“การจะตัดหินก้อนใหญ่แบบนั้น นอกจากเจ้าชายที่เป็นมาสเตอร์ในการใช้ออร่า ก็ไม่มีอีกแล้วสินะ”
“เจ้าชายไม่มีทางที่จะตระหนี่เรี่ยวแรงในเรื่องของท่านฟีเรนเทียนี่ครับ ไวโอเล็ต”
พอเครย์ลีบันขมวดคิ้วแน่นเอ่ยถามขึ้น ไวโอเล็ตก็ได้แต่กัดริมฝีปากแน่นก่อนจะเอ่ยตอบ
“ปัญหากลับเป็นพระองค์ใช้แรงไปเยอะเกินไปค่ะ สลบไปก็หลายครั้งแล้ว…ตอนนี้ก็ยัง…”
“เจ้าชายอยู่ที่ไหนหรือครับ ตอนนี้”
แคลอฮันเอ่ยถามอย่างไรเฟเรสก็เป็นคนที่ยิ่งใหญ่
ต่อให้บอกว่าแถวนี้มีคนอยู่มากเกินไปก็เถอะ แต่ไม่มีทางที่ถ้าเฟเรสอยู่ที่นี่แล้วเขาจะไม่เห็นอีกฝ่ายแบบนี้แน่
“ค่ะ ทางด้านนั้น…”
ไวโอเล็ตชี้นิ้วไปยังมุมหนึ่งอย่างไร้เรี่ยวแรง
“นั่น…เฟเรสหรือ”
คิลลีวูเอ่ยราวกับไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง
ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวจนทำให้เห็นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่แค่ภาพด้านหลังของชายคนหนึ่งที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั่น คิลลีวูก็สามารถรู้ได้แล้วว่าเป็นใคร
แต่ภาพนั้นกลับดูเหนื่อยล้าจนตัวหดเล็กเป็นอย่างมาก
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าคนคนนั้นจะเป็นเฟเรสที่มักจะเชิดหน้าปล่อยจิตสังหารรุนแรงอยู่เสมอ
“ลองห้ามปรามให้พักหลายรอบแล้วค่ะ แต่ทุกครั้งคนที่เข้าไปห้ามก็จะเจ็บตัวกลับมาทุกที…หลังจากอัศวินบาดเจ็บไปสามคน ก็ไม่มีใครกล้าบุ่มบ่ามเข้าไปห้ามแล้วละค่ะ”