เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 155.1
ตอนที่ 155
แคลอฮันฟังคำบอกเล่าจากไวโอเล็ตพลางเหม่อมองเฟเรส ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
ถึงแม้จะยังเดินโงนเงนไม่ตรงทางอยู่บ้าง แต่จังหวะก้าวเดินของเขาก็ยังรวดเร็วและมั่นคง
แต่ตรงมุมทางเดินนั้นกลับมีใครบางคนกำลังเฝ้ารอแคลอฮันอยู่
ภาพลักษณ์เย่อหยิ่งที่เคยมีจางหายไปหมดสิ้น ภายในระยะเวลาแค่ไม่กี่วัน เจ้าตระกูลไอบันดูแก่ชราลงไปมาก
เจ้าตระกูลไอบันลังเลเล็กน้อยในขณะที่ก้าวเดินเข้าไปหาแคลอฮันด้วยใบหน้านิ่งขรึม แล้วเอ่ยกับอีกฝ่ายว่า
“ทะ ท่านชายลอมบาร์เดีย…”
ท่าทางลับๆ ล่อๆ ทั้งยังดูงุ่มง่ามนั่น เรียกความสนใจของทุกคนให้หันมามองทางนี้กันเป็นสายตาเดียว
“ดะ ได้โปรด ฟังข้าก่อน…”
แต่เจ้าตระกูลไอบันกลับไม่อาจพูดอะไรไปได้มากกว่านั้น
เพราะนัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความโกรธที่ไม่อาจประเมินได้ และแรงกดดันหนักหน่วงกำลังกดทับลงมาบนไหล่ของเจ้าตระกูลไอบัน
“…”
แคลอฮันไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
เขาเหลือบมองเจ้าตระกูลไอบันที่ค่อยๆ ก้าวถอยห่างออกไปทีละน้อยด้วยหางตา แล้วเดินมุ่งหน้าไปหาเฟเรสต่ออีกครั้งเท่านั้น
แกรก แกรก
ยิ่งเข้าไปใกล้เฟเรสมากเท่าไหร่ แคลอฮันก็ยิ่งได้ยินเสียงเดิมดังซ้ำไปซ้ำมา
และในวินาทีที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเฟเรสในที่สุด แคลอฮันก็ได้แต่กัดฟันแน่น
แกรก แกรก ตุบ
แกรก ตุบ
เฟเรสกำลังใช้มือเปล่าโกยหินพวกนั้นออกไป
โดยที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะหยัดกายลุกขึ้น ได้แต่นั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้น
ปลายนิ้วที่ใช้กำก้อนหินถลอกจนถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงสดทุกนิ้ว
แต่สายตาของเฟเรสกลับเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ใต้ผืนดินนั่นไม่ยอมละสายตา
ราวกับมั่นใจว่าหากขุดลึกลงไปได้ถึงข้างใต้นั่น เด็กหนุ่มจะต้องได้พบหน้าเทียอีกครั้ง
“พอเถอะพ่ะย่ะค่ะเจ้าชาย” แคลอฮันขยับกายเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าวพลางเอ่ยขึ้น
เฟเรสหยุดชะงัก ก่อนจะหมุนตัวหันกลับไปมองข้างหลังอย่างเชื่องช้า
“…แคลอฮัน ลอมบาร์เดีย?”
ใบหน้าของเฟเรสดูย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมบนใบหน้ามีบาดแผลเป็นรอยถลอกเล็กใหญ่อยู่ประปราย ริมฝีปากเองก็แห้งผากจนเลือดไหลซิบ
ทว่าสิ่งที่ทำให้ใจของแคลอฮันร่วงหล่นยิ่งกว่าสิ่งใดคือ นัยน์ตาของเฟเรส
นัยน์ตาสีแดงทับทิมไร้วิญญาณคู่นั้น
เมื่อก่อนบุตรสาวของเขาเคยกล่าวเอาไว้
เรื่องราวเมื่อสมัยที่นางได้บังเอิญพบกับเฟเรสเป็นครั้งแรกในพระราชวัง
“เหมือนกับใบไม้ร่วงสีแดง ที่เพียงแค่สัมผัสนิดเดียวก็พลันแตกสลายไปเลยค่ะ เฟเรสในตอนนั้นน่ะ”
เฟเรสที่นั่งฟุบอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นมองแคลอฮันอยู่ในตอนนี้ ราวกับย้อนกลับไปยังสมัยนั้นอีกครั้ง
กลับไปเป็นเด็กน้อยตัวเล็กผอมแห้งที่อาศัยอยู่ตามลำพังในป่าลึก ก่อนจะได้พบกับบุตรสาวของเขา
แคลอฮันย่อเข่าลง ปรับระดับสายตาให้ตรงกับเฟเรส
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเอง”
พอได้ยินเสียงอ่อนโยนของแคลอฮัน ใบหน้าของเฟเรสก็พลันบิดเบี้ยวไม่น่ามองขึ้นมา
“…ขอโทษครับ ข้าไม่อาจ…ปกป้องเทียเอาไว้ได้” เฟเรสเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“ข้า…ควรที่จะอยู่กับนางแท้ๆ”
เฟเรสพึมพำเช่นนั้นแล้วหันกลับไปเริ่มขยับกายเคลื่อนไหวเหมือนเครื่องจักรอีกครั้ง
หินและดินถูกขุดขึ้นมาจนเกิดเสียงดังครืดคราด
“ข้าจะต้องหาเทียให้เจอให้ได้ครับ ต้องหาให้เจอ…”
หมับ
แคลอฮันคว้ามือของเฟเรสเอาไว้แล้วเอ่ยถามขึ้น
“หากเทียได้มาเห็นสภาพของเจ้าชายในตอนนี้ คิดว่านางจะพูดอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“…”
เฟเรสก้มหน้ามองสภาพของตัวเองแทนคำตอบ เขาเม้มปากแน่น
“ดูเหมือนเจ้าชายเองก็พอจะทราบคำตอบนั่นดีอยู่แล้วสินะพ่ะย่ะค่ะ บางทีนางอาจจะดุพระองค์เสียงดังเลยก็ได้ และกระหม่อมเองก็คงจะโดนดุไปด้วย ว่ามัวแต่ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ไม่ห้ามปราม แล้วปล่อยให้พระองค์มีสภาพเช่นนี้”
แคลอฮันพูดเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ดึงก้อนหินออกไปจากมือของเฟเรส
“เจ้าชายต้องไปพักบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่คิดที่จะพัก…”
“กระหม่อมไม่ได้พูดให้พระองค์พักเพื่อตัวพระองค์เองพ่ะย่ะค่ะ แต่เพื่อเทียต่างหาก”
แคลอฮันยืนกรานหนักแน่น
“หากจะทำลายหินก้อนใหญ่ที่อยู่ข้างใต้นั่น จำเป็นต้องใช้ดาบออร่าของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ต้องทำเช่นนั้นถึงจะสามารถนำตัวบุตรสาวของกระหม่อมออกมาได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ก็ยังใช้ออร่าได้นะครับ”
เฟเรสหยิบดาบที่กลิ้งอยู่ข้างๆ ขึ้นมาถือไว้ ก่อนจะเรียกออร่าขึ้นมา
ทว่าออร่ากลับเปล่งประกายเป็นแสงริบหรี่ราวกับไอระเหยเท่านั้น ไม่อาจคงรูปร่างเอาไว้ได้เหมือนแต่ก่อน
“อา…”
เฟเรสก้มลงมองดาบของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ
“ดูสิพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เจ้าชายไม่อาจช่วยเหลืออะไรเทียได้เลย”
แคลอฮันพูดเน้นย้ำ ในขณะเดียวกันก็จับไหล่เฟเรสช่วยพยุงเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นยืน
หากเป็นยามปกตินี่คงเป็นเรื่องน่าขันไร้เหตุผล แต่เฟเรสในตอนนี้ยอมลุกขึ้นตามแรงดึงของแคลอฮันอย่างง่ายดาย
หมายความว่า เด็กคนนี้เหนื่อยล้ามากถึงขนาดนั้น
แคลอฮันถอนหายใจเสียงแผ่ว ขมวดคิ้วแน่นจนหน้าผากย่น
“กระหม่อมจะช่วยเองพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าอัศวินตระกูลลอมบาร์เดียเดินเข้ามาด้านข้างก่อนจะเอ่ยขึ้น
สองแฝด เครย์ลีบัน และไวโอเล็ตเองก็เดินเข้ามาด้วยกัน
แคลอฮันส่งตัวเฟเรสให้อัศวิน แล้วเอ่ยเสียงเข้มงวด
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พระองค์พักเอาเรี่ยวเอาแรงเสียก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะเห็นว่าพรุ่งนี้ก็คงเก็บเอาหินด้านบนนี่ออกหมดแล้ว ไว้ถึงตอนนั้นพวกเราจำเป็นต้องให้พระองค์ช่วยพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ก่อนนั้นก็ยังต้องใช้ออร่าของข้า ถ้าจะพังหินก้อนใหญ่ให้แตกนะครับ”
เฟเรสมองหินหลายก้อนที่ยังคงกองเป็นภูเขาขนาดย่อม ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ
ในตอนนั้นเองคิลลีวูกับเมโลนก็ถอดผ้าคลุมทิ้ง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“เรื่องนั้นให้พวกข้าจัดการเอง”
ทั้งสองคนเดินออกมาข้างหน้า ขณะเดียวกันก็ชักดาบที่เอวออกมาถือไว้
“ฮู่ว…”
สูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมกับเรียกออร่าออกมาคลุมดาบของทั้งคู่เอาไว้
มันอาจจะไม่ได้สว่างชัดเหมือนออร่าของเฟเรส แต่ก็ถือเป็นดาบออร่าชั้นยอดอยู่เหมือนกัน
“ระดับนี้พวกเราเองก็พอจะทำได้เหมือนกัน”
“เจ้าชายรีบๆ ไปพักเถอะ”
คิลลีวูกับเมโลนกล่าวเช่นนั้น แล้วแยกย้ายกันไปฟาดฟันดาบลงบนหินที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง
เคร้ง!
เสียงดาบกระทบผิวของเนื้อหินดังขึ้นพร้อมกับทิ้งรอยฟันลึกเหลือไว้บนหิน
“ประมาณนี้คงจะยกมันออกไปได้ใช่มั้ย”
คิลลีวูเอ่ยถามบรรดาแรงงานที่เฝ้ามองอยู่รอบด้าน
“ครับ! ไม่มีปัญหาครับ!”
ผู้คนต่างก็ตอบกันอย่างแข็งขัน คว้าเอาค้อนมาทุบๆ ตามแนวรอยฟันที่เกิดจากดาบออร่า
และผ่านไปไม่นาน หินก้อนใหญ่ก็ส่งเสียงเปรี๊ยะ พร้อมกับแตกออกเป็นเสี่ยง
“เป็นไง เห็นแล้วใช่มั้ย”
“หินน่ะ พวกเราจะเก็บกวาดเอง เจ้าชายไปพักฟื้นให้ดีเถอะ”
“ตรงนี้มีพวกเราอยู่ตั้งสองคน พวกเราแค่สลับกันพัก ก็ใช้ออร่าได้ต่อเนื่องแล้ว”
เฟเรสเหม่อมองสองแฝดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ายอมตกลงในที่สุด
และหันไปมองแคลอฮันพลางเอ่ยว่า
“ข้าจะไม่ทำอะไรอีก จะนั่งพักอยู่ตรงนี้เฉยๆ ครับ อยู่ตรงนี้มันสบายใจกว่า”
“…ได้พ่ะย่ะค่ะ”