เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 155.2
หลังจากได้คำตอบจากแคลอฮัน เฟเรสก็เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนหินก้อนหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
“อาหารก็สำคัญนะเพคะ เจ้าชาย”
ไวโอเล็ตรีบไปเอาขนมปังนุ่มๆ กับน้ำมาให้เฟเรส
“ต้องเสวยเสียหน่อยถึงจะมีแรงนะพ่ะย่ะค่ะต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อที่จะทำลายหินก้อนใหญ่นั่น พวกเราต้องรีบช่วยเทียออกมาให้ได้เร็วๆ ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
แคลอฮันกล่าวกับเฟเรสที่ยังดูลังเลอยู่
เฟเรสจึงยอมรับขนมปังกับน้ำมาถือไว้อย่างว่าง่าย
“เอาละ เตรียมตัวอีกรอบ!”
เมโลนตะโกนเสียงดัง ในขณะที่เรียกออร่าขึ้นมาอีกครั้ง
โครม!
เปรี๊ยะ!
ลานกู้ภัยอันแสนตึงเครียดเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครา
เฟเรสนั่งเคี้ยวขนมปังอยู่บนก้อนหินเงียบๆ
ขยับตัวเพียงแค่เล็กน้อย ก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม
เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะได้รักษาพลังงานเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ในขณะที่ทำเช่นนั้น สายตาของเฟเรสก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่เดิม ไม่ละสายตาห่างออกไปจากหินก้อนใหญ่ที่เผยโฉมออกมาให้เห็นครึ่งซีกตรงบริเวณนั้น
ราวกับนั่นเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิต เขาเอาแต่จ้องมันไม่ห่าง ในขณะที่เคี้ยวขนมปังกลืนลงคอ
* * *
ตึง ตึง
เสียงอะไรบางอย่างหนักๆ ปลุกเธอให้ตื่นจากการหลับใหล
ครืน
แรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยดังขึ้น พร้อมกับเศษดินที่ร่วงตกลงมาจากเพดานรถม้า
“นี่มัน…เสียงอะไรหรือครับ”
โล่งอกที่มันไม่ใช่ภาพหลอนที่มีแค่เธอเท่านั้นที่ได้ยินมิเคนเต้ ไอบันเองก็ตื่นขึ้นมาเหมือนกัน
“หรือว่าเกิดเหตุดินถล่มขึ้นอีกรอบหรือเปล่าครับ”
“ก็อาจจะเป็นไปได้…”
ครืน
ได้ยินเสียงดังขึ้นพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง
“เฮ้อ…”
มิเคนเต้ ไอบันดูเหมือนจะสูญเสียความหวังไปจนหมดสิ้นแล้ว
เขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานที่มีเศษดินร่วงหล่นลงมาด้วยนัยน์ตาสิ้นหวัง ก่อนจะหลับใหลไปอีกครั้ง
ไม่สิ บอกว่าหมดแรงจนสลบไปน่าจะใกล้เคียงกว่า
เธอเองก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกันเท่าไหร่
กังวลว่าดินที่ร่วงลงมาเสียงครืน ครืน ทุกครั้งที่เกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นก็จริง แต่เปลือกตาก็หนักอึ้งเอาแต่จะปิดลงอยู่เรื่อย
ถ้าเพดานพังลงมาละก็ คงต้องตายสินะถ้าอย่างนั้นตายไปโดยหลับแบบไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ไม่แย่เท่าไหร่หรอกใช่มั้ย
แต่แล้วในตอนที่นัยน์ตาเริ่มปรือจะปิดลง พร้อมกับความคิดเช่นนั้น
โครม!
เสียงดังสนั่นจนเสียงเมื่อครู่นี้เทียบไม่ติดก็ดังขึ้น พร้อมกับเพดานข้างหนึ่งยุบตัวลงมา
“เห…”
แต่เธอไม่ได้ตกใจเพราะเรื่องนั้น
“…เร็ว…ยกออก!”
“ฝั่งนี้ทั้งหมด… เร็วเข้า…!”
ภายในรถม้าที่เงียบสงัดมาโดยตลอด เริ่มได้ยินเสียงของผู้คนดังขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกันหัวใจของเธอก็เริ่มเต้นเสียงดังโครมคราม
เธอหยัดกายขึ้นจนชิดเพดานอย่างทุลักทุเล แล้วเริ่มส่งเสียงร้องตะโกน
“ตรงนี้! ข้าอยู่ตรงนี้ค่ะ! ตรงนี้มีคนอยู่ ตรงนี้!”
แต่เสียงที่ดังออกมากลับไม่ดังเหมือนอย่างที่ใจต้องการเอาเสียเลย
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เพราะส่งเสียงร้องตะโกนเรี่ยวแรงจึงพลันหดหายไปหมด ลมหายใจก็เริ่มเหนื่อยอ่อน
“แฮกแฮก…”
แต่จะยอมแพ้ตรงนี้ไม่ได้เด็ดขาด
เธอหลับตาแน่นอีกครั้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดัง
“ตรงนี้! ได้ยินเสียงข้ามั้ยคะ!”
ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ก็นะ อยู่ข้างบนนั่น จะไปได้ยินเสียงของเธอได้ยังไง…
“เทีย!”
“ฟะ เฟเรส”
ใช่แล้ว เฟเรสเป็นคนที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าไวกว่าคนทั่วไป
ยิ่งหลังจากเขาใช้ออร่าได้ ก็ยิ่งไวกว่าเดิมมาก
และเริ่มได้ยินเสียงที่ดังกว่าก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัว
ในขณะเดียวกัน ปริมาณเศษดินที่ร่วงตกลงมาเป็นระยะก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เสียงของผู้คนคุยกันก็เริ่มค่อยๆ ได้ยินชัดเจนขึ้นเช่นกัน
เธอยื่นมือออกไปตั้งใจจะจะปลุกมิเคนเต้ ไอบัน
“อืม…”
แต่มิเคนเต้ ไอบันทำได้เพียงแค่ลืมตาขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถหยัดกายลุกขึ้นได้
เธอยกกล่องใส่คุกกี้ช็อกโกแลตขึ้นเคาะเพดาน พลางส่งเสียงร้องตะโกนไม่หยุด
“ตรงนี้! เฟเรส ข้าอยู่ตรงนี้!”
แต่ก็ทำได้เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ภาพตรงหน้าเริ่มหมุนคว้าง ลมหายใจเริ่มขาดช่วง
ในที่สุดเธอก็พิงศีรษะแนบเข้ากับกำแพง ต่อสู้กับเปลือกตาที่เอาแต่จะปิดลงอยู่เรื่อย
“เฟเรส เฟเรส…”
สิ่งที่เธอสามารถทำได้ก็มีแค่ใช้เสียงเบาเท่ามดของเธอพร่ำเรียกชื่อเฟเรสเท่านั้น
“เฟเรส ข้าอยู่ตรงนี้…”
แต่แล้วในจังหวะที่คิดว่าคงไม่อาจเอาชนะเปลือกตาหนักอึ้งได้อีกต่อไปแล้ว
ครืนนน
เสียงหนักหน่วงดังขึ้นพร้อมกับแสงสว่างส่องเข้ามาในรถม้า
“อึก”
เพราะตกอยู่ในความมืดเป็นเวลานานจนสายตาชินกับความมืดแล้ว เธอจึงตาพร่าจนไม่อาจมองเห็นอะไรได้ แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่เธอรู้สึกได้
“เทีย”
เสียงของเฟเรสเธอยื่นมือไขว่คว้าออกไปทางทิศที่ได้ยินเสียงทั้งๆ ที่ยังคงหลับตาหลบแสงอาทิตย์อยู่
หมับ
และก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจับมือของเธอที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศเอาไว้ทันที
มือข้างนั้นช่วยดึงเธอขึ้นไป
และรู้สึกได้ถึงร่างกายของเฟเรสที่โอบกอดเธอไว้
เธอยื่นมือออกไปจับเสื้อของเฟเรสเอาไว้แน่น
“ไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เป็นอะไรนะ เทีย”
แค่คำพูดประโยคนั้นประโยคเดียว
วินาทีนั้นเอง ความเครียดต่างๆ นานาที่เคยถาโถมเข้าใส่ให้เธอต้องดิ้นรนมีชีวิตรอดจึงคลายตัวลง พร้อมกับสติของเธอที่หลุดลอยไปไกล