เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 159.2
เล่ม 4 บทที่ 159.2
นานมาแล้วที่แคลอฮันไม่ได้แวะมายังร้านค้าเพลเลส
เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากเชซายูได้ไม่นาน ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางจึงยังเหลือค้างอยู่บ้าง แต่ใบหน้าของแคลอฮันกลับเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมีเรื่องดีๆ กำลังรอเขาอยู่ยังไงล่ะ
แคลอฮันเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องทำงานของเครย์ลีบัน ไม่รอช้าที่จะเคาะประตูห้องอย่างไม่ลังเล
“เชิญเข้ามาได้ครับ” ราวกับรอคอยอยู่แล้ว เสียงของเครย์ลีบันดังตอบกลับมาทันที
“คุณเครย์ลีบัน”
“มาแล้วหรือครับ”
เครย์ลีบันเชิญแคลอฮันให้นั่งลงบนเก้าอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มในขณะที่เอ่ยขึ้นว่า
“ดูท่าจะอารมณ์ดีมากเลยนะครับ”
“อีกไม่นานท่าเรือก็เปิดแล้วไม่ใช่หรือครับ งานที่จัดเตรียมมาอย่างยุ่งวุ่นวายตั้งแต่เมื่อปีก่อน ในที่สุดก็จะกลายเป็นจริงแล้ว ใจข้าเต้นโครมครามเสียจนนอนไม่หลับเลยละครับ”
นัยน์ตาสีเขียวของแคลอฮันส่องประกายระยิบระยับ
เครย์ลีบันมองสีหน้าเช่นนั้นของแคลอฮัน ก่อนจะยกยิ้มเล็กน้อย
“…ถ้าอย่างนั้นมาลองทบทวนแผนการกันเป็นครั้งสุดท้ายเถอะครับ”
แล้วเครย์ลีบันกับแคลอฮันก็นั่งสุมหัวกันตรวจเช็กเอกสารต่ออีกพักใหญ่
แคลอฮันตรวจเช็กจนแน่ใจว่าทุกอย่างเตรียมการพร้อมหมดแล้วไม่มีข้อข้อผิดพลาดใดๆ เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าพอใจพลางเอ่ยขึ้นว่า
“หากไม่มีร้านค้าเพลเลสแล้วละก็ ตัวข้าคนเดียวคงไม่มีทางทำเรื่องพวกนี้ได้สำเร็จแน่ครับ ถึงแม้จะเป็นเจ้าเมืองเชซายูก็เถอะ แต่ก็ควรที่จะรู้เรื่องอะไรกับเขาบ้างใช่มั้ยล่ะครับ ขอบคุณมากจริงๆ นะครับ คุณเครย์ลีบัน”
“แทนที่จะต้องเสียเงินลงทุนก้อนโต ต่อไปเรือของร้านค้าเพลเลสเองก็จะได้จอดเทียบท่าที่เชซายูโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมไม่ใช่หรือครับ และกำไรที่ได้จากท่าเรือก็ยังได้รับส่วนแบ่งอีกด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าสมควรจะได้รับคำขอบคุณทั้งหมดหรอกนะครับ ท่านแคลอฮัน”
“ฮ่าฮ่า อย่างนั้นหรือครับ”
แคลอฮันหัวเราะด้วยความขวยเขิน ขณะเดียวกันก็จัดการเก็บเอกสารให้เป็นระเบียบ
เครย์ลีบันเฝ้ามองภาพตรงหน้า ก่อนจะถอดแว่นตาออก วางมันลงแล้วเอ่ยว่า
“แต่ไม่ได้มานั่งสนทนากันแบบนี้นานแล้วนะครับเนี่ย ทำเอานึกถึงเรื่องสมัยก่อนขึ้นมาเลย”
“เรื่องสมัยก่อน…”
แคลอฮันเอียงคอด้วยความงุนงง ก่อนจะตบมือเสียงดัง ‘ฉาด’ แล้วเอ่ยถามว่า
“อ๊ะ พูดถึงเรื่องตอนที่ข้าไปถามเกี่ยวกับกิจการเสื้อผ้าสำเร็จรูปหรือครับ”
“ครับ ใช่แล้วละครับ ตอนนั้นแค่สนทนากับข้าอย่างปกติยังทำได้ยากอยู่เลยแท้ๆ ได้เห็นท่าทางคล่องแคล่วในตอนนี้แล้ว มันชวนให้คิดว่าเวลาผ่านมานานมากแล้วจริงๆ นะครับ”
เครย์ลีบันหัวเราะเบาๆ
ใบหน้าของแคลอฮันขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อย คิดไปว่ารอยยิ้มนั่นดูเหมือนตั้งใจจะหยอกล้อตนชอบกล
“ก็ตอนนั้นคุณเครย์ลีบันน่ากลัวมาก มันก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ” แคลอฮันนึกถึงเรื่องสมัยก่อนขึ้นมา แล้วก็ต้องยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา
“…แล้วตอนนี้เป็นเช่นไรล่ะครับ” เครย์ลีบันเอ่ยถามเสียงทุ้ม
“ตอนนี้จะไปน่ากลัวได้ยังไงล่ะครับ คุณเครย์ลีบันเป็นคนใจดีและอ่อนโยนขนาดไหน ตอนนี้ข้าทราบแล้วละครับ”
“พูดถึง…ข้าน่ะหรือครับ”
“ครับ คุณเครย์ลีบันเป็นคนที่ดูแลคนรอบตัวได้ดีมากสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือครับ”
แคลอฮันตอบอย่างเริงร่า
“เรื่องท่าเรือคราวนี้ก็เหมือนกัน พอเห็นข้ากำลังเป็นกังวลเรื่องเชซายู ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างไม่ลังเลยเลยไม่ใช่หรือครับ”
“ข้าไม่ได้ทำเรื่องดีงามแบบนั้นหรอก…”
“ทราบครับ มันเป็นกิจการที่ถือเป็นโอกาสที่ดีต่อร้านค้าเพลเลสด้วยเหมือนกัน”
แคลอฮันมองสบนัยน์ตาของเครย์ลีบันตรงๆ ในขณะที่เอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ
“แต่ข้าทราบดีครับว่าในระหว่างจัดการงานครั้งนี้ ร้านค้าเพลเลสคอยช่วยดูแลความสะดวกเรียบร้อยให้กับเชซายู หากทำแค่เพื่อกำไรจริงๆ ละก็ คงไม่ทำแบบนั้นหรอกครับ”
“…”
เครย์ลีบันไม่ได้ตอบอะไรออกไปสักคำ
พอได้เห็นเครย์ลีบันนั่งเม้มปากแน่นอยู่นิ่งๆ แล้ว แคลอฮันก็หัวเราะออกมาเสียงแผ่วอย่างผ่อนคลายแล้วเอ่ยต่อ
“เพราะอย่างนั้นผู้คนในเชซายูถึงได้สามารถมีชีวิตที่ดีกว่าเดิมได้ท่าเรือเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้การค้าขายของพวกเขาสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ครับ ตอนนี้นอกจากการเพาะปลูกแล้ว ก็มีงานอื่นให้ทำเพิ่มขึ้น พลเมืองเลยไม่ต้องทนหิวกันในฤดูแล้งแล้วละครับ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะร้านค้าเพลเลสแท้ๆ”
แคลอฮันโค้งศีรษะลงเล็กน้อยแทนคำขอบคุณ
เครย์ลีบันมองท่าทางของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ แต่ไม่รู้ทำไมใบหูถึงได้กลายเป็นสีแดงระเรื่อเสียได้ เขายกมือขึ้นลูบมันไปพลางเอ่ยอ้อมแอ้มเสียงแผ่ว
“…โล่งอกที่ช่วยได้นะครับ”
* * *
เฟเรสกลับออกมาจากคฤหาสน์ลอมบาร์เดีย แล้วเดินทางไปยังเมืองหลวงอีกครั้ง
ก็อย่างที่เทียสังเกตได้นั่นแหละ ที่บอกว่า ‘ผ่านมาพอดี’ นั่น มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
เขากำลังเดินทางไปยังกลุ่มการค้าโมนัค แต่พอเห็นร้านคาราเมล อเวนิวเข้าระหว่างทาง ก็ดันนึกถึงเทียขึ้นมาได้ เลยอยากจะซื้อเค้กไปฝากนางเสียหน่อย
แน่นอนว่าทางร้านคาราเมล อเวนิวเองก็มีบริการส่งถึงที่ด้วยเช่นกัน แต่เฟเรสก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้เรื่องนั้น
คิดแค่ว่าในเมื่อซื้อมันมาแล้ว ก็ต้องนำเค้กไปมอบให้เทียให้ได้
เพราะอย่างนั้นการประชุมถึงได้ล่าช้าไปกว่าเดิมมาก แต่สำหรับเฟเรสแล้ว ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าความสำคัญของเทียย่อมมาก่อนเรื่องอื่นใด เขาจึงไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก
ริกนีเต้กับโนเชียร์รอต้อนรับเฟเรสอยู่ก่อนแล้ว
“กิจการทางใต้เป็นยังไงบ้าง”
“ดำเนินการไปตามแผนครับเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นจากการตัดไม้ทรีบ้าทางเหนือ เลยทำให้เป็นไปได้ราบรื่นกว่าเดิมมากพ่ะย่ะค่ะ”
“เงินทุนล่ะ”
“จัดการได้อย่างราบรื่นเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะทางนั้นคือเซอเชาว์ไม่ใช่หรือ วางแผนจัดการเรื่องบัญชีได้อย่างดีเยี่ยมเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟเรสพยักหน้ารับรู้อย่างช้าๆ ให้กับรายงานอันน่าพึงพอใจของโนเชียร์
แต่เรื่องทั้งหมดไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น
“จากการสืบข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าเพลเลส แทบไม่ได้อะไรเลยละ ไม่มีเรื่องอะไรให้สืบแล้วจริงๆ”
ริกนีเต้พูดเสียงเอื่อยเพราะไม่มีความคืบหน้าเสียที จนเขาชักจะเบื่อแล้วจริงๆ
“ถ้าตัดเรื่องที่มีสายตาเฉียบแหลมจนน่ากลัวออกไป เครย์ลีบัน เพลเลสคนนี้เป็นคนที่มือสะอาดมาก”
ถึงแม้จะพูดออกไปแบบนั้น แต่ตัวริกนีเต้เองก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ อยู่ดี
ปกติพวกพ่อค้าแต่ไหนแต่ไรก็มือสกปรกมากพอๆ กับเงินที่หามาได้กันทั้งนั้น
แต่เครย์ลีบัน เพลเลสกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปร้านค้าเพลเลสกลับมีแต่จะยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
ประเด็นนี้แหละที่ทำให้เสียงร้องเตือนดังขึ้นในหัวสมองของริกนีเต้ไม่หยุด
“ทุกกิจการที่ยื่นมือเข้าไปจัดการ พวกนั้นทำยังไงถึงได้ประสบความสำเร็จขนาดนั้น คราวนี้ก็ลงมือทำเพิ่มอีกเรื่องแล้วด้วย”
“ร้านค้าเพลเลส?”
“ท่าเรือที่สร้างขึ้นในเชซายู เห็นว่าได้รับเงินทุนจากร้านค้าเพลเลสน่ะสิ ถ้าเดินทางผ่านทางนั้นจะสามารถขนส่งสินค้าไปยังตะวันออกได้อย่างง่ายดาย”
“ไปตะวันออก?”
“ไม่มีตลาดไหนดีเท่าตะวันออกที่ถนนหนทางลำบากอยู่แล้วนี่นา ก็ต้องเลือกตะวันออกแน่ๆ ละ แถมราคาสินค้าที่ขนไปขายจากภาคกลางเองก็ขึ้นอยู่กับผู้ขายเป็นหลักคราวนี้ร้านค้าเพลเลสคงหาเงินได้มหาศาลแน่”
เฟเรสนั่งฟังคำพูดนั้นนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไป
“เฟเรส?”
ถึงแม้จะเอ่ยเรียกเฟเรสที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด แต่ก็ยังไม่มีคำตอบดังกลับมาอยู่ดี
“ตะวันออก…อาบีน็อกซ์…”
เฟเรสเอาแต่พึมพำคำพูดอะไรบางอย่างที่ริกนีเต้ไม่อาจเข้าใจความหมายได้