เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 162.2
เล่ม 4 บทที่ 162.2
“ตระกูลใต้บังคับบัญชางั้นรึ!”
แต่เบเจอร์กลับดิ้นพล่านด้วยความโมโห
“อังเกนัสเป็นตระกูลภริยาของข้า! ก็เหมือนเป็นบ้านเดียวกันกับลอมบาร์เดียนั่นแหละ!”
แล้วตะคอกเสียงดังลั่นด้วยความโมโห
“แต่ก็นะ ยังไงเมื่อแต่งงานก็ต้องย้ายออกไปเป็นคนของตระกูลอื่นอยู่แล้ว เจ้าจะรักในลอมบาร์เดียน้อยไปก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่”
โพละ
เส้นความอดทนในหัวสมองของเธอขาดดังโพละเสียแล้ว
“นี่…ว่ายังไงนะคะ”
เธอจ้องเบเจอร์เขม็ง
“รักในลอมบาร์เดีย…น้อยไป?”
เธอคนนี้เนี่ยนะ
ฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดียคนนี้
เทียบกับไอ้เบเจอร์นั่น
เธอลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งทันที
เสียงเก้าอี้ล้มดัง ‘โครม’ ส่งเสียงก้องไปทั่วโถงจัดงานเลี้ยง ผู้คนมากมายต่างพากันหันมามองทางด้านนี้เป็นสายตาเดียว
เธอเดินตรงดิ่งเข้าไปหาเบเจอร์ที่นั่งนิ่งด้วยใบหน้าตื่นตกใจทีละก้าวๆ
เรื่องที่ลอมบาร์เดียต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวง เพราะเรื่องโง่ๆ ที่เบเจอร์กระทำลงไปพวกนั้น เธอยังพอทนได้ไหว
เสียงโง่งมของเบเจอร์ที่ดังก้องในหัว เธอก็ยังพอจะเมินมันได้
แต่
นี่หาว่าความรักในลอมบาร์เดียของเธอมันเป็นยังไงนะ
เธอหยุดยืนตรงหน้าเบเจอร์
เบเจอร์ที่ก้มหน้ามองเธอจากความสูงที่เหนือกว่า ในวันนี้กลับดูโง่เขลายิ่งกว่าปกติเป็นร้อยเท่า
เธอกระตุกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นเล็กน้อย แล้วเปิดกระเป๋าถือออก
ก่อนจะวางของที่หยิบออกมาจากในนั้น วางลงบนโต๊ะตรงหน้าเบเจอร์เสียงดัง
“…บัตรเชิญ?”
มันคือบัตรเชิญสีแดงที่เธอพกมาไว้เผื่อมอบให้คนอื่นๆ ที่มาร่วมงานวันเกิดของท่านปู่
เธอพูดย้ำทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำให้เบเจอร์ที่เอาแต่ก้มหน้าอ่านตัวอักษรบนซองนั่นได้ยินชัดแจ้งเต็มสองหู
“ต้องมาให้ได้นะคะ ต้องมาให้ได้”
เพราะในวินาทีที่เครย์ลีบันเปิดตัวกิจการใหม่ เธอจะต้องมองใบหน้าของเบเจอร์ด้วยนัยน์ตาของตัวเองให้ได้
เธอหยอดคำพูดสุดท้ายออกไป เพื่อเป็นการกระตุ้นให้แน่ใจว่าเบเจอร์จะต้องมาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้อย่างแน่นอน
“ถ้าไม่มา บางทีอาจจะได้แต่นั่งเฉยๆ ไม่รู้จะพูดอะไรในงานสังคมไปสักระยะเลยก็ได้ อย่าทำให้ตัวเองต้องเสียใจภายหลังเลยค่ะ”
แค่ได้เห็นสายตาตะลึงนั่นสั่นคลอนในวินาทีนั้น เธอก็รู้ในทันทีว่าเบเจอร์จะต้องถือบัตรเชิญใบนี้มาร่วมงานเลี้ยงด้วยสองขาของตัวเอง
* * *
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ทั่วเมืองหลวงต่างก็วุ่นวายไปทั่ว เพราะงานเลี้ยงที่ทางร้านค้าเพลเลสจัดขึ้นในเย็นวันนี้
แต่ริกนีเต้ รูมันกลับอยู่ห่างจากเมืองหลวงค่อนข้างไกล
ที่นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ในเขตเมนลีทางตอนใต้สุดของเขตแดนลอมบาร์เดีย
งานเลี้ยงที่ทางร้านค้าเพลเลสเป็นผู้จัดมักจะกลายเป็นประเด็นร้อนเสียทุกงาน เขาเองก็รู้สึกเสียดายอยู่บ้างเหมือนกันที่ต้องพลาดงานเลี้ยงครั้งนี้ไป
แต่เพื่อข้อมูลใหม่ที่จะได้มาเขาจึงต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อตรวจเช็กให้แน่ใจ แม้จะเร็วขึ้นแค่วันเดียวก็ถือว่าคุ้มค่า
“ที่นี่หรือ”
สถานที่ที่ริกนีเต้ควบม้ามาถึงก็คือ คฤหาสน์หลังที่ใหญ่ที่สุดในเมนลี
แม้จะเป็นคฤหาสน์ที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ปลีกวิเวกจากตัวเมือง แต่ก็ยังเล็กกว่าคฤหาสน์ในเมืองหลวงหลายเท่า
สถานที่แห่งนี้จัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและเป็นมิตรยิ่งกว่าที่ไหนๆ
“เอาไงดีล่ะ…”
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยตกดินแล้วมันออกจะเย็นย่ำเกินไปที่จะเคาะประตูบ้านคนแปลกหน้า
ริกนีเต้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้า
หลังจากจัดการปัดเศษดินเศษฝุ่นที่เลอะเปรอะเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เขาก็เดินตรงไปยังประตูหน้าคฤหาสน์
“ลองสืบจากตอนที่ร้านค้าเพลเลสจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกดู โดยเฉพาะเจ้าของอาคารร้านค้าเพลเลสคนก่อน ตอนนี้อยู่ที่ไหน ไปสืบมาให้แน่ชัด”
นั่นเป็นคำสั่งที่เมื่อไม่นานมานี้จู่ๆ เฟเรสก็สั่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ริกนีเต้ถอนหายใจเสียงแผ่วเมื่อเฟเรสพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเครย์ลีบัน เพลเลสอีกแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามกลับไป
“ทำไมจู่ๆ ถึงให้สืบเรื่องเจ้าของคนเก่าล่ะ”
“ลองไปสืบดูว่า คนที่ซื้ออาคารหลังนั้นเป็นตัวเครย์ลีบัน เพลเลสเองหรือเปล่า ไม่ใช่ชื่อคนซื้อบนเอกสาร แต่เป็นคนซื้อที่ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ”
ในวินาทีนั้นเอง ริกนีเต้ก็รู้สึกเหมือนโดนอะไรกระแทกเข้าที่หลังศีรษะอย่างจัง
ทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงคิดไม่ได้กัน
ตั้งแต่แรกแล้ว ร้านค้าเพลเลสมีเพียงแค่เครย์ลีบัน เพลเลสเป็นเจ้าของเพียงผู้เดียว ไม่มีผู้ร่วมลงทุนคนอื่น
เพราะอย่างนั้นเขาถึงได้คิดง่ายๆ แค่ว่า ‘ช่างเป็นคนที่น่าทึ่งจริงๆ’ แล้วมองข้ามเรื่องนี้ไป
แต่พอมาลองคิดดูแล้ว มันก็มีอะไรบางอย่างแปลกๆ
ก่อนที่จะก่อตั้งร้านค้าเพลเลสขึ้นมา เครย์ลีบัน เพลเลสเป็นเพียงแค่หนึ่งในลูกจ้างจำนวนมากมายที่ทำงานให้กับตระกูลลอมบาร์เดียเท่านั้น
แน่นอนว่าในเมื่อคอยช่วยจัดการงานภายในคฤหาสน์ ทั้งยังรับหน้าที่อบรมสอนหนังสือแก่บรรดาทายาท ดังนั้นก็ย่อมได้รับเงินค่าจ้างสูงเป็นธรรมดาแต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะซื้ออาคารทั้งหลังในเมืองได้อยู่ดี
นอกจากนี้ยังไม่มีร่องรอยว่าเครย์ลีบัน เพลเลสไปกู้เงินจากธนาคารใดในอาณาจักรทั้งสิ้น
เรื่องนั้นริกนีเต้เป็นคนไปตามสืบด้วยตัวเองเขาจึงสามารถยืนยันได้
อย่างนั้นเงินจำนวนมากพอจะซื้ออาคารหลังหนึ่งได้ในครั้งเดียว มันเป็นของใครกันล่ะ
อาคารที่ใช้จัดตั้งร้านค้าเพลเลสขึ้นมาจะใช่ของเครย์ลีบัน เพลเลสจริงๆ หรือ
ท่ามกลางจุดน่าสงสัยในหลายๆ เรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ ริกนีเต้ขยับมือยกขึ้นเคาะประตูคฤหาสน์เบาๆ
“รบกวนด้วยครับ มีใครอยู่มั้ยครับ”
ผ่านไปไม่นาน ก็มีชายวัยกลางคนสวมชุดพ่อบ้านเดินออกมาต้อนรับริกนีเต้
“สวัสดีครับ ข้ามาขอพบกรีน แบโร่ว ที่เคยอาศัยอยู่ในเมืองลอมบาร์เดียน่ะครับ ขอเข้าพบสักครู่ได้มั้ยครับ”
พ่อบ้านกวาดสายตามองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของริกนีเต้ โดยไม่ทำตัวเสียมารยาทมากเกินไป แค่ตรวจเช็กให้แน่ใจว่าไม่ใช่คนน่าสงสัย
ถึงแม้จะไม่ยอมเปิดเผยชื่อตัวเอง แต่วิธีการพูดจาที่ฟังดูสุภาพ ไหนจะเสื้อผ้าที่หรูหรานั่นอีก ทั้งหมดเป็นการพิสูจน์ว่าแขกผู้มาเยือนคนนี้ต้องเป็นชนชั้นสูงแน่นอน
“นายท่านกำลังพักผ่อนอยู่ครับ ขอเชิญที่ห้องรับรองก่อนดีกว่า”
“ขอบคุณครับ”
ริกนีเต้เดินเข้าไปตามการนำทางของพ่อบ้าน เขาสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่าในคราวนี้จะต้องได้รับคำตอบที่แน่ชัดกลับไปแน่
ในขณะเดียวกันก็พลันนึกถึงท่าทางของเฟเรสตอนที่ออกคำสั่งนี้ขึ้นมา
นัยน์ตาคู่นั้นดูมั่นใจแปลกๆ