เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันจะเป็นเจ้าตระกูล - เล่ม 4 บทที่ 164.1
เล่ม 4 บทที่ 164.1
ตอนที่ 164
“วันที่ขายอาคาร? มันเป็นวันที่จัดการขายอาคารหลังสุดท้ายเพื่อเดินทางกลับมาตั้งต้นใหม่ที่บ้านเกิดแห่งนี้ ก็เลยยังพอจำได้คร่าวๆ อยู่บ้าง แต่อยากรู้เรื่องอะไรหรือ”
กรีน แบโร่วฝังตัวอยู่ในเก้าอี้นวมตัวใหญ่ เขาลูบเคราพลางพึมพำเสียงแผ่วเมื่อได้ยินคำถามของริกนีเต้
“เรื่องที่ดูพิเศษงั้นหรือ…ใช่แล้ว มีอยู่เรื่องหนึ่ง ตอนจ่ายเงินงวดสุดท้าย ที่นั่นกลับมีเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งตามมาด้วย”
“เด็ก…หรือครับ”
“ใช่แล้วละ เป็นเด็กผู้หญิง แต่ตอนนี้น่าเป็นสาวแล้วละ…นางจัดการจ่ายเงินแทนผู้ชายที่มาซื้อตึก หอบหิ้วเอาเหรียญเงินใส่ถุงใบใหญ่มา ลองมาคิดๆ ดูแล้วก็เป็นเรื่องที่พิเศษจริงๆ”
กรีน แบโร่วหัวเราะคิกคัก
อึก ริกนีเต้กลืนน้ำลายแห้งผากลงคอ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงสั่นเครือ
“คือว่า มีจุดเด่นอะไรเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ยังพอจะจำได้บ้างมั้ยครับ รูปร่างหน้าตา หรือนามของนาง…”
“อืมม ไม่รู้สินะ ถามเรื่องพวกนั้นกับคนอย่างข้าไป…นอกจากเรื่องที่นางตัวเล็กมาก กับวิธีการพูดจาฉลาดเฉลียวแล้ว…”
กรีน แบโร่วลากเสียงท้ายประโยคด้วยกำลังครุ่นคิด แต่แล้วเขาก็ต้องตบเข่าเสียงดังฉาด
“อา ใช่แล้ว นัยน์ตาสีเขียวสว่าง ผูกโบสีแดงไว้ที่ผม! ฮ่าฮ่า ข้าเองก็ยังความจำดีเหมือนกันนะเนี่ย!”
เฟเรสนึกถึงบทสนทนาของกรีน แบโร่วที่ได้ยินมาจากริกนีเต้อีกที ก่อนจะหันไปมองเทียที่ยังนั่งอยู่ตรงข้ามเขา
“เอาเค้กอะไรดีล่ะ ข้าจะกินเค้กช็อกโกแลต แต่ถ้าเจ้าอยากกินข้าแบ่งให้ก็ได้นะ เฟเรส”
หญิงสาวสวมเดรสสีแดงซึ่งเป็นสีที่นางชอบมากที่สุด พูดเรื่องเค้กไปเรื่อยเปื่อยอย่างผ่อนคลาย
“เทีย”
“อื้อ”
“รู้ได้ยังไงกันว่าข้าจะมาพบเจ้า”
คำถามของเฟเรสทำให้การเคลื่อนไหวอย่างขยันขันแข็งของเทียหยุดชะงัก
“เรื่องที่เจ้าจะมาหาที่คฤหาสน์ตั้งแต่เช้าตรู่ ก็เหมือนกับวันที่เจ้าตั้งใจจะเดินทางไปอะคาเดมีตามลำพังนั่นแหละ ก็แค่คิดว่าถ้าเป็นเจ้าก็คงจะทำเช่นนี้ และก็”
เทียยิ้มกว้างพลางเอ่ยตอบ
“มีเหตุผลให้เจ้าต้องรีบร้อนมาพบข้าอยู่นี่นา”
“ก็นั่นน่ะสิ แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง…”
“แล้วเจ้าล่ะ รู้ได้ยังไง ความลับของข้าน่ะ”
“…ขอโทษนะ ข้าขอโทษ”
เทียยักไหล่ไม่ยี่หระกับคำขอโทษของเฟเรส ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว
“ไม่หรอก ไม่มีอะไรให้ต้องขอโทษ ทั้งเจ้าทั้งข้าก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่สิ ถ้าเจ้าไม่รู้สักที ข้าอาจจะผิดหวังในตัวเจ้าก็ได้” เทียหัวเราะเบาๆ ท้ายประโยค
“อีกอย่างถ้าเจ้าขอโทษแบบนั้นข้าก็ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิมน่ะสิ เฟเรส”
แล้วก็เทน้ำชาลงในแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าเฟเรส
“เอาละ ลองถามมาสิ ข้าจะตอบอย่างไม่ปิดบัง”
กระทั่งเทียกล่าวเช่นนั้น เฟเรสก็ยังไม่ขยับอยู่พักใหญ่เอาแต่มองหญิงสาวไม่ละสายตา
เพราะจู่ๆ วันนี้เทียก็ให้ความรู้สึกแปลกไม่คุ้นเคยขึ้นมาทั้งๆ ที่ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเสียหน่อย แต่กลับดูราวกับเป็นคนอื่นเสียได้
เฟเรสเปิดปากอย่างเชื่องช้าและเอ่ยถามเสียงทุ้ม
“เทีย เจ้าเป็นเจ้าของร้านค้าเพลเลสตัวจริงงั้นหรือ”
บนใบหน้าของหญิงสาวยามรับฟังคำถามของเฟเรสนั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
และเทียก็เอ่ยตอบขึ้นว่า
“อื้อ ใช่แล้ว ข้าเป็นเจ้าของร้านค้าเพลเลสตัวจริง”
“ตั้งแต่ต้น?”
“ใช่ ตั้งแต่ต้น”
ร้านค้าเพลเลสก่อตั้งขึ้นเมื่อแปดปีก่อนตอนนั้นเทียอายุแค่สิบเอ็ดปีเท่านั้น
ในขณะเดียวกัน จิ๊กซอว์ที่เคยกระจัดกระจายเป็นชิ้นก็เริ่มประสานต่อเข้าเป็นรูปเป็นร่าง
ตั้งแต่เหมืองแร่เพชร ต้นทรีบ้า จนถึงกิจการเรือสำราญตะวันออกล่าสุด
ขนลุกไปทั่วร่าง!เฟเรสฝังใบหน้าตัวเองลงบนมือทั้งสองข้างตามสัญชาตญาณ
หัวใจเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงจนส่งเสียงดังตึกตักๆ กล้ามเนื้อทั่วร่างเกร็งแน่นไปด้วยความตื่นเต้น
และ
‘นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นเจ้า’
ท่ามกลางความมืดมิดที่ถูกบดบังด้วยอุ้งมือ มุมปากของเฟเรสคลายตัวคลี่ยิ้มอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่มีใครเห็น
* * *
ถ้าหากเบ๊ตไม่ถือกล่องเค้กสำหรับส่งถึงบ้านมาเคาะประตูตั้งแต่รุ่งสาง รีบมาแจ้งให้ทางนี้รู้ว่า ริกนีเต้ รูมันเดินทางไปพบเจ้าของอาคารร้านค้าเพลเลสคนเก่าแล้วละก็ เธอก็เกือบจะต้องต้อนรับเฟเรสอย่างกะทันหันโดยไม่รู้เรื่องอะไรแล้ว
ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้ม เธอลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก พร้อมกับดื่มน้ำชาลงคอ
แต่มันยังไม่จบแค่นี้เพราะใบหน้าถูกบดบังด้วยมือใหญ่ ทำให้เธอไม่สามารถสำรวจปฏิกิริยาของเฟเรสได้
รู้สึกเหมือนโดนทรยศหรือว่ารู้สึกโกรธกันนะ
ถ้าเป็นเฟเรส เธอเองก็รู้ดีว่ายังไงเขาคงจะสังเกตเห็นได้สักวัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เด็กหนุ่มรู้สึกเช่นไรต่างหาก
ถ้าหากความสัมพันธ์ของพวกเราต้องพังลงเพราะเรื่องเช่นนี้ล่ะ
‘รีบสร้างความสนิทสนมกับองค์รัชทายาทในอนาคตเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะได้รับความช่วยเหลือในการขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย และเปลี่ยนแปลงอนาคตของตระกูลที่ล่มสลายจากการเลือกผิดข้าง’
ทันทีที่ย้อนเวลากลับมา นั่นเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดที่เธอเคยตั้งเอาไว้ เรื่องนี้อาจจะทำให้มันล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าก็ได้ ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเด็กหนุ่มจะไม่มีทางเลวร้ายลงไปเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ก็เถอะ
ในตอนนั้นเอง เฟเรสก็เงยหน้าขึ้นมาพอดี
ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนเคย แต่โล่งอกที่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้โกรธเคืองอะไร
เฟเรสเอ่ยถามเธอ
“รู้ความลับของข้าด้วยหรือเปล่า”
ก็นะเธอเองก็ต้องบอกออกไปสักหน่อยเกี่ยวกับที่ตัวเองรู้ความลับของเขา ถึงจะเท่าเทียมกันสินะ
เธอพยักหน้าลงก่อนจะเอ่ยตอบ
“กลุ่มการค้าโมนัค”
“…รู้อยู่แล้วนี่เอง”
“ใช้ต้นทรีบ้ากดข่มอังเกนัสกับจักรพรรดินี เป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ นะ เฟเรส”
เธอล่วงรู้อนาคตอยู่แล้ว ถึงได้กว้านซื้อต้นทรีบ้าแบบนั้นแต่เฟเรสอ่านการเคลื่อนไหวของจักรพรรดินีอย่างชาญฉลาด แล้วคาดเดาอนาคตออกมา
เป็นเด็กหนุ่มที่น่าทึ่งจริงๆ
ทำเอาอดไม่ได้ที่จะชื่นชมหัวสมองอันชาญฉลาดของเฟเรสอยู่หลายครั้ง
“ถ้างั้นร้านค้าเพลเลสละ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุดินถล่ม ถึงได้กว้านซื้อไม้ทรีบ้าเอาไว้เหรอ”
เธอยักไหล่ไม่ยี่หระอะไรนัก แล้วเอ่ยว่า
“ก็ทางนั้นมีเหมืองแร่ตั้งเยอะ ยังไงก็ต้องฟังความเห็นของผู้เชี่ยวชาญบ้างสิ”
ขอโทษนะ เฟเรสเธอบอกออกไปตรงๆ ไม่ได้หรอก ว่าเป็นเพราะย้อนเวลากลับมาถึงได้ล่วงรู้อนาคต
“พวกเราต่างก็ครอบครองต้นทรีบ้าเหมือนกัน แต่เฟเรส เจ้าเลือกที่จะขูดรีดเงินทองจากจักรพรรดินี ดื่มด่ำกับผลประโยชน์ทางการเงิน ส่วนข้าก็แค่ลงมือเคลื่อนไหวทางการเมืองเท่านั้น”
นัยน์ตาสีแดงของเฟเรสมองสบตาเธอนัยน์ตาคู่นั้นดูสงบนิ่งต่างจากที่เธอกังวล
เธอเองก็ไม่หลบเลี่ยงนัยน์ตาคู่นั้น แต่จ้องตอบกลับไปตรงๆ
“แต่ถ้าหากเจ้าเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับข้าตั้งแต่แรก คงจะยิ่งประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม”
“ประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม…”
เฟเรสพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะเอ่ยถาม
“เป้าหมายของเจ้าคืออะไร เทีย”
“เป้าหมาย?”
“มีอยู่หลายเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ มันดูเกินกว่าจะมีเป้าหมายแค่สร้างร้านค้าเพลเลสให้กลายเป็นกลุ่มการค้าที่ยิ่งใหญ่”
“อา”
เธอพยักหน้าลง
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกสั้นๆ จึงค่อยตอบออกไป
“ข้าจะเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดีย เฟเรส”
แค่ได้พูดออกไปจากปากก็ให้ความรู้สึกตื่นเต้นจนอดใจรอวันนั้นไม่ไหวแล้ว
“และเพื่อการนั้น ข้าคิดว่าต่อไปจะช่วยให้เจ้าสามารถขึ้นเป็นองค์รัชทายาทให้ได้”
แต่ปฏิกิริยาของเฟเรสกลับดูแปลกไปเล็กน้อย
เขามองเธอด้วยใบหน้านิ่งขรึม แต่นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นกลับสั่นไหว
อา เพราะประโยคที่เธอพูดไปเมื่อครู่นี้งั้นเหรอ
มันก็ฟังดูน่าเข้าใจผิดอยู่บ้างหรอก
“แน่นอนว่าข้าไม่ได้หมายถึงจะใช้เจ้าเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรอกนะ เหตุผลที่ข้าช่วยเหลือเจ้าน่ะ เฟเรส เพราะเจ้าเป็นเพื่อนข้า…”
“ใช้เถอะ”
“…หา?”
พอเห็นเธอถามกลับไป เฟเรสก็ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้าๆ
และเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายเธอ
“ใช้ข้าเถอะ เทีย”
เฟเรสกล่าวเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ดึงมือขวาของเธอไปกอบกุมเอาไว้
มือหยาบกระด้างเล็กน้อยของเฟเรสลูบไล้ไปบนผิวเนื้ออ่อนนุ่มของฝ่ามือเธอ
ฟึบ
เสียงเนื้ออ่อนเสียดสีกันดังไปทั่วห้องที่ตกอยู่ในความเงียบไร้เสียงพูดคุย
“ฟะ เฟเรส”
“ถ้าเป็นเจ้าละก็ จะหลอกใช้ข้าก็ได้”
คราวนี้นิ้วหัวแม่มือของเฟเรสลากไล้นวดเป็นวงกลมเบาๆ บนหลังมือของเธอที่บอบบางจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวอมฟ้า
“ไม่ว่าจะกี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง จะมากแค่ไหนก็ได้”
นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นมองเธอด้วยความร้อนแรงราวกับจะเผาเธอให้ไหม้เป็นจุณก่อนจะดึงมือของเธอเข้าหาตัวอย่างอ่อนโยน
“ไม่สิ ได้โปรดใช้ข้าเถอะ”
“…อ๊ะ!”
หลังมือรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่านจากริมฝีปากของเฟเรสอย่างชัดเจนไปทุกอณูผิว
และในที่สุดริมฝีปากอุ่นร้อนก็จุมพิตลงบนหลังมือของเธอ
มืออีกข้างของเขาสอดประสานเข้ากับมือข้างซ้ายของเธอ กอบกุมมันนิ่งค้างเอาไว้เนิ่นนานไม่ยอมปล่อย
เฟเรสไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น
ริมฝีปากของเขาไล้ผ่านไปตามนิ้วแต่ละนิ้วของเธอ
ราวกับต้องการตีตราเป็นเจ้าของ
และตลอดเวลาที่ทำเช่นนั้น นัยน์ตาของเด็กหนุ่มก็ยังคงจับจ้องใบหน้าของเธอโดยไม่ละสายตาห่างออกไปแม้แต่ครั้งเดียว
ราวกับเป็นการให้คำมั่นสาบาน เฟเรสจุมพิตค้างเอาไว้บนหลังมือของเธออีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม
“ให้ข้าได้ช่วยเจ้านะ เทีย”
* * *